This is default featured slide 1 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 2 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 3 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 4 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

This is default featured slide 5 title

Go to Blogger edit html and find these sentences.Now replace these sentences with your own descriptions.This theme is Bloggerized by Lasantha Bandara - Premiumbloggertemplates.com.

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2564

บันทึกเดินทาง ภูเก็ต(Phuket Thailand)

😊1.ย่านเมืองเก่าภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย (Phuket Old Town, Phuket Province, Thailand)
 👉เมื่อมาเที่ยวภูเก็ต กิจกรรมท่องเที่ยวอย่างหนึ่งที่จะพลาดไปไม่ได้คือ การตระเวนชมอาคารบ้านเรือน ตึกสวยๆ แบบชิโนโปรตุกีสที่ ย่านเมืองเก่า ซึ่ง ณ พ.ศ.นี้ ไม่ว่าใครไปเที่ยวภูเก็ตก็จะต้องไปเดินเล่นถ่ายรูปอาคารบ้านเรือนสวยๆ ที่นี่ การเดินชมย่านเมืองเก่าอันเป็นเสน่ห์ทางประวัติศาสตร์ของเมืองภูเก็ต นอกจากนักท่องเที่ยวจะได้ชื่นชมสถาปัตยกรรมดั้งเดิมอันงดงามตระการตาแล้ว ในขณะเดียวกันยังได้สัมผัสถึงวิถีชีวิตของผู้คน และได้เรียนรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ของภูเก็ต อีกทั้งยังมีโอกาสได้ลิ้มรสอาหารพื้นเมืองซึ่งเป็นเอกลักษณ์ที่มีเฉพาะถิ่นอีกด้วย

👉ประวัติ

           ในอดีตเมื่อประมาณ 100 กว่าปีที่แล้ว เมืองภูเก็ตไม่ได้เป็นเมืองท่องเที่ยวชายทะเลเช่นในปัจจุบัน แต่เป็นเมืองที่มีทรัพยากรแร่ธาตุโดยเฉพาะแร่ดีบุกซึ่งมีเป็นจำนวนมาก กอปรกับหลายประเทศในขณะนั้นมีความต้องการใช้แร่ดีบุกในการพัฒนาประเทศเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ทำให้มีชาวต่างชาติโดยเฉพาะชาวตะวันตกเข้ามาร่วมลงทุนเหมืองแร่ที่ภูเก็ต โดยมีแรงงานคือชาวจีน ซึ่งภายหลังแรงงานชาวจีนบ้างก็กลายมาเป็นพ่อค้าและนายเหมือง
           การหลอมรวมกันของวัฒนธรรมต่างชาติในขณะนั้นทำให้ภูเก็ตมีวัฒนธรรมแบบตะวันตกและจีนผสมอยู่ รวมถึงการสร้างอาคารบ้านเรือนที่ได้รับอิทธิพลมาจากสถาปัตยกรรมทั้งสองฝั่ง ผสมผสานกลายเป็นสถาปัตยกรรมแบบ ชิโนโปรตุกีส (“ชิโน” แปลว่าจีน) ชิโนโปรตุกีส ก็คือการผสมผสานระหว่างศิลปะตะวันออกและตะวันตก
👉เอกลักษณ์ของภูเก็ตที่นักท่องเที่ยวจะสังเกตเห็นได้เมื่อเข้าสู่เทศบาลเมืองภูเก็ตคือ อาคารเก่าแก่สวยงามตามสไตล์สถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสย่านเมืองเก่า สถาปัตยกรรมชิโนโปรตุกีสในเมืองภูเก็ตมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปตามรูปแบบโครงสร้าง และฐานะทางเศรษฐกิจของเจ้าของ โดยแบ่งได้เป็น 3 ประเภทใหญ่ๆ ได้แก่
             อาคารสาธารณะ ซึ่งเป็นอาคารราชการ สมาคมโรงเรียน และบริษัทเอกชน โดยอาคารเหล่านี้มีลักษณะเป็นตึกก่ออิฐถือปูนผนังหนา และมีลวดลายสวยงาม เช่น ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต พิพิธภัณฑ์ภูเก็ตไทยหัว เป็นต้น
             คฤหาสน์ หรือ อังมอเหลา แปลว่า ตึกฝรั่ง เป็นตึก 2 ชั้นขนาดใหญ่ ผนังก่ออิฐฉาบปูนหนา มีเสาอิงตกแต่งลวดลายปูนปั้นตามแบบศิลปะยุโรป  และมีประตูหน้าต่างไม้ตกแต่งลวดลายฉลุแบบศิลปะจีน โดยรวมแล้วอาคารส่วนใหญ่มีลวดลายปูนปั้นและการตกแต่งคล้ายกับอาคารตึกแถว รวมทั้งมีการจัดช่องหน้าต่างทำให้มีความกลมกลืนกับกลุ่มอาคารตึกแถวได้เป็นอย่างดี  เช่น คฤหาสน์พระพิทักษ์ชินประชา  บ้านหลวงอำนาจนรารักษ์ เป็นต้น
             อาคารตึกแถว (เตี้ยมฉู่) เป็นตึกแถวที่มีจุดเด่น คือ มีลักษณะเป็นซุ้มโค้งที่มีช่องทางเดินต่อเนื่องกันโดยตลอดทั้งตึก เพื่อเป็นที่กันแดดกันฝนให้แก่ผู้คนที่สัญจรไปมา เรียกว่า หง่อคาขี่ หรือ อาเขต  ตึกแถวนี้ส่วนใหญ่มีหลังคาทรงสูงมุงด้วยกระเบื้องดินเผามีร่องมุมแหลมรอบตัววี ประตูหน้าต่างชั้นล่างทำด้วยไม้ตกแต่งด้วยลวดลายแบบจีน ส่วนชั้นบนมักเป็นบานหน้าต่างขนาดใหญ่ 2-3 ช่องยาวถึงพื้นห้อง เช่น ตึกแถวบริเวณถนนถลาง ถนนดีบุก และซอยรมณีย์ เป็นต้น

(https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=112)














































































* *.:。✿*゚・•*.:✿✲-•(¯`°•.* * .°¯)*¤°• •::* 。✿*¨゚✎・
😊Promthep Cape (แหลมพรหมเทพ)  แหลมพรหมเทพ ที่เที่ยวภูเก็ต ชมพระอาทิตย์ตกดิน สวยสุดในไทย

แหลมพรหมเทพ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ตั้งอยู่ห่างจากหาดราไวย์ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นแหลมที่อยู่ตอนใต้สุดของจังหวัดภูเก็ต มีทัศนียภาพที่สวยงาม และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่ได้รับความนิยม เป็นที่ตั้งของประภาคารกาญจนาภิเษก สุดปลายของแหลมพรหมเทพ มีชื่อว่าแหลมเจ้า บริเวณตัวแหลมซึ่งยื่นออกไปในทะเล มีลักษณะโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ด้วยต้นตาลที่ขึ้นอยู่กลุ่มใหญ่

แหลมพรหมเทพ ถูกจัดเป็นหนึ่งในโครงการมหัศจรรย์เมืองไทย 12 เดือน 7 ดาว 9 ตะวัน ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จุดเด่นคือ "ชมพระอาทิตย์ตกทะเล สวยที่สุดในประเทศไทย"(https://th.wikipedia.org/wiki)






















* *.:。✿*゚・•*.:✿✲-•(¯`°•.* * .°¯)*¤°• •::* 。✿*¨゚✎・

😊Karon Viewpoint (จุดชมวิวสามอ่าว)

จุดชมวิวกะรน (Karon View Point) เป็นจุดชมวิวที่สวยงามแห่งหนึ่งของภูเก็ต โดยจากที่นี่นักท่องเที่ยวจะสามารถมองเห็นทัศนียภาพอันสวยงามของเมืองภูเก็ตที่โอบล้อมด้วยท้องทะเลสีครามและชายหาดสีขาวที่โค้งเว้าทอดยาวของถึงสามหาดด้วยกัน  

👉ประวัติ

             จุดชมวิวกะรน ในอดีตเคยมีชื่อว่าจุดชมวิวกะตะ หรือบ้างก็เรียกกันทั่วไปว่า “เขาสามหาด” “จุดชมวิวสามอ่าว” จุดชมวิวแห่งนี้ตั้งอยู่ระหว่างหาดในหานไปหาดกะตะน้อยระหว่างทางไปแหลมพรหมเทพ บริเวณจุดชมวิวมีเป็นลักษณะเนินเขาสูง ด้านบนมีศาลาเล็กๆ ให้ขึ้นไปชมวิวได้ ซึ่งจากจุดนี้สามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามของเวิ้งอ่าวซึ่งมีลักษณะเป็นแบบโค้งแบบเสี้ยวพระจันทร์ติดต่อกัน 3 อ่าว ได้แก่    

             อ่าวกะตะน้อย (เป็นอ่าวที่อยู่ใกล้ที่สุดจากจุดชมวิว) มีความยาวหาดราว 700 เมตร เป็นหาดที่ค่อนข้างเงียบสงบกว่าอ่าวกะตะใหญ่ที่อยู่ถัดออกไป อ่าวนี้จะเป็นที่ตั้งของรีสอร์ตหรู และมีความเป็นส่วนตัวสูง

             อ่าวกะตะ หรืออ่าวกะตะใหญ่ (อยู่ถัดออกไป) อยู่ห่างจากอ่าวกะตะน้อยเพียง 500 เมตร เป็นหาดที่มีน้ำทะเลใส หาดทรายขาวละเอียด และมีแนวปะการังที่สวยงาม หาดแห่งนี้ถือเป็นเกาะสวรรค์ของคนชอบการดำน้ำและเล่นเซิร์ฟ รวมทั้งยังเป็นที่ตั้งของโรงแรมที่พักหลากหลาย ร้านอาหาร และสถานบันเทิง จึงมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเที่ยวกันอย่างคึกคักตลอดทั้งปี

             อ่าวกะรน (อยู่ไกลสุด) โดยอยู่ห่างจากอ่าวกะตะใหญ่ออกไปประมาณ 3 กิโลเมตร ถือเป็นหาดที่มีความยาวเป็นอันดับสองในบรรดาหาดทั้งหมดของจังหวัดภูเก็ตเลยทีเดียว หาดนี้ก็มีน้ำทะเลที่ใส และเม็ดทรายขาวนุ่มละเอียด แต่นักท่องเที่ยวจะนิยมมานอนอาบแดดมากกว่าทำกิจกรรมทางน้ำ เนื่องจากคลื่นลมที่นี่จะค่อนข้างแรงอยู่สักนิด

             ไม่เพียงแต่การชมวิวของอ่าวทั้งสามจากจุดชมวิวด้านบนเท่านั้น ด้านล่างบริเวณลานจอดรถของจุดชมวิวกะรนก็สามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามได้เช่นกัน แม้ว่าอาจจะไม่เทียบเท่าการชมจากด้านบนร้อยเปอร์เซ็นต์ก็ตาม ซึ่งนอกจากอ่าวทั้งสามนี้แล้ว จากที่นี่ยังสามารถมองเห็นเกาะปูที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์คู่กับหาดกะตะมายาวนานด้วย ส่วนยอดตึกที่มองเห็นจะเป็นกลุ่มโรงแรมกะตะธานี และเรือนยอดมะพร้าว  

             ในช่วงเวลาเย็นจะเป็นช่วงเวลาที่สามารถเก็บภาพพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามที่สุดอีกที่บนเกาะภูเก็ตได้จากจุดชมวิวแห่งนี้ แต่สำหรับนักท่องเที่ยวบางส่วนก็นิยมมาแวะชมวิวที่นี่ก่อนที่จะไปชมพระอาทิตย์ตกที่สถานที่ยอดนิยมอย่างแหลมพรหมเทพกันต่อ   

             นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปเที่ยวที่จุดชมวิวได้ตลอดทั้งวัน ในช่วงกลางวันที่ทัศนวิสัยดีก็จะมองเห็นน้ำทะเลเป็นสีฟ้าครามสดใส บวกกับของร่มชายหาดหลากสีเรียงรายตัดกับสีขาวของชายหาด เป็นภาพที่สวยงามและสร้างชีวิตชีวาให้กับเกาะภูเก็ตได้อย่างดีเยี่ยม

(https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=239)




* *.:。✿*゚・•*.:✿✲-•(¯`°•.* * .°¯)*¤°• •::* 。✿*¨゚✎・

😊หาดป่าตอง ภูเก็ต

“หาดป่าตอง” คงน้อยคนที่จะไม่รู้จัก แม้แต่คนที่อาจจะยังไม่เคยไปภูเก็ตก็ยังคุ้นหูชื่อนี้เป็นอย่างดี เพราะหาดป่าตองเป็นหาดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของภูเก็ต หาดป่าตองเป็นที่เที่ยวที่มีหลายมิติ ขึ้นอยู่กับว่านักท่องเที่ยวแต่ละคนนั้นชอบเที่ยวแบบใด แม้ว่าเหนือหาดจะเต็มไปด้วยย่านธุรกิจและแสงสีวิบวับในยามค่ำคืน แต่ชายหาดและน้ำทะเลที่ป่าตองนั้นยังคงสวยงามไม่ได้น้อยลงไป

👉ประวัติ

           หาดป่าตอง ตั้งอยู่ที่อำเภอกระทู้ ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตไปทางตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 15 กิโลเมตร ในอดีตหาดป่าตองยังไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป นอกจากกลุ่มฮิปปี้ที่รักธรรมชาติและความสงบ เนื่องจากหาดนั้นอยู่หลังเขาสูงชันและเดินทางไปยากลำบาก ผู้คนที่อาศัยอยู่มีเพียงชาวเลท้องถิ่น และเรียกหาดแห่งนี้ว่า “กรากอตอ” หมายถึงช่องเขากำแพงซึ่งขวางกั้นระหว่างตัว อ. กะทู้กับชายหาด เมื่อเวลาผ่านไปคนจึงเรียกเพี้ยนไปจากเดิมเป็นกรากระตอน แล้วกลายเป็นหาดป่าตองในที่สุด หลังจากมีการตัด ถ.พระบารมีในปี พ.ศ. 2502 ทำให้การเดินทางไปหาดป่าตองสะดวกยิ่งขึ้น

           สำหรับใครหลายๆ คนหาดป่าตองที่มีเม็ดทรายสีขาวละเอียดอาจจะเป็นที่รู้จักในเรื่องของแสงสีและแหล่งบันเทิงที่นักท่องเที่ยวชาวต่างชาตินิยมมาพักผ่อนตลอดทั้งปี เนื่องจากเป็นหาดที่มีร้านค้า ร้านอาหาร ที่พัก บริษัททัวร์ แหล่งบันเทิง และอื่นๆ ที่อำนวยความสะดวกครบครันตั้งอยู่เรียงราย ไม่ว่านักท่องเที่ยวจะต้องการผ่อนคลายไปกับบริการสปาขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ ต้องการซื้อแพ็คเกจทัวร์ หรือทำกิจกรรมท่องเที่ยวตามชายหาดรูปแบบใดที่หาดแห่งนี้ก็มีให้เลือกสรร หาดป่าตองเป็นหาดที่มีจุดรับส่งนักท่องเที่ยวหรือแท็กซี่ให้บริการเป็นจำนวนมาก(https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=114)

👉นอนอาบแดดบนชายหาด

นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติชอบมากที่จะมานอนอาบแดดบนชายหาด เปลี่ยนสีผิวร่างกายจากขาวซีด ให้เป็นสีแทน เอาหนังสือมาอ่าน หรือนั่งเม้าท์มอยสู้สายลม และแสงแดด มาที่นี่สามารถนอนอาบแดดได้สองแบบ จะนอนอาบแดดบนเบาะ พร้อมร่มชิลล์ๆ ในราคา 200 บาท หรือจะนอนอาบแดดบนเสื่อสบายๆ รับแดดแบบเต็มๆ ประชันหน้ากับแสงอาทิตย์อย่างจังกันเลย

(https://www.wongnai.com/trips/one-day-trip-patong-beach-phuket?ref=ct)

👉เล่นบานาน่าโบ๊ท

เรือสปีดโบ๊ทลากบานาน่าโบ๊ทโต้คลื่นอย่างไว เวลามาเล่นบานาน่าโบ๊ทแนะนำให้พาเพื่อนมาสัก 5 คนนะคะ นั่งกันให้เต็มรำบานาน่าโบ๊ทพอดี แล้วจะมันส์มาก! ราคาอยู่ที่ 1 คน 700 บาท เด็กราคา 600 บาท อ่านต่อได้ที่ https://www.wongnai.com/trips/one-day-trip-patong-beach-phuket?ref=ct

👉ขับเจ็ทสกีโต้คลื่น

ใครชอบขับเจ็ทสกี งานนี้ไม่ควรพลาดเลย! โต้คลื้นกันสุดมันส์ ถือเป็นกีฬาทางน้ำยอดฮิตที่คนรักความท้าทายต้องได้ลอง! ผู้หญิงเลานได้ ผู้ชายเล่นดี! ราคาอยู่ที่ 1,500 บาท เล่นได้ 30 นาที ถ้านั่ง 2 คน ราคาอยู่ที่ 2,000 บาท นะคะ อ่านต่อได้ที่ https://www.wongnai.com/trips/one-day-trip-patong-beach-phuket?ref=ct

👉เล่นพาราชู๊ต

พาราชู๊ต หรือเรือลากร่มกลางทะเล อีกกิจกรรมยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวชอบเล่น ขึ้นไปลอยบนอากาศเหมือนไปแตะขอบฟ้า โดยการ “โดดร่ม” ริมชายหาด ใครที่ไม่กลัวความสูงต้องลองเลยค่ะ ความฟินอยู่ที่ตอนลอยขึ้นไป ขาเราจะห้อยกลางอากาศบนความสูงเกินตึก 5 ชั้น หวาดเสียวสุดๆ มาทั้งทีก็อย่าให้เสียเที่ยวนะคะ ราคาพาราชู๊ต เล่นต่อคน อยู่ที่ 1,500 บาท ใช้เวลาประมาณ 5 นาที นะคะ อ่านต่อได้ที่ https://www.wongnai.com/trips/one-day-trip-patong-beach-phuket?ref=ct



















😊
Patong Night











































* *.:。✿*゚・•*.:✿✲-•(¯`°•.* * .°¯)*¤°• •::* 。✿*¨゚✎・

😊หาดราไวย์ จังหวัดภูเก็ต ประเทศไทย

   หาดราไวย์ หาดที่ชื่อคุ้นหูกันเป็นอย่างดีอีกหาดหนึ่งของภูเก็ต ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากแหลมพรหมเทพและขึ้นชื่อในเรื่องของบรรยากาศอันคึกคักสำหรับการหาอาหารทะเลสดๆ รสชาติอร่อยรับประทาน คืออีกหนึ่งจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวที่ต้องการสีสันในการรับประทานอาหารทะเลเมื่อมาเยือนภูเก็ต

👉ประวัติ
           หาดราไวย์ อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 16.5 กิโลเมตร ราไวย์เป็นหาดกว้างรองจากหาดป่าตองและมีร้านอาหารอยู่เป็นจำนวนมาก โดยตลอดสองข้างทางของหาดราไวย์จะเต็มไปด้วยอาหารทะเลสดๆ ที่นักท่องเที่ยวสามารถเลือกซื้อกันได้ตามความพอใจ เพื่อนำมาให้ร้านอาหารบริเวณนั้นปรุงให้แล้วคิดราคาค่าปรุงกันไป สิ่งนี้เองที่เป็นสีสันของที่นี่ ทำให้หาดแห่งนี้เป็นที่นิยมสำหรับการมาหาอาหารทะเลรับประทานของนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติที่คึกคักอยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะกี่ปีๆ
           แม้หาดราไวย์จะมีน้ำทะเลที่ค่อนข้างใสแต่หาดทรายนั้นไม่ได้ขาวมากเหมือนเกาะอื่นๆ คนจึงไม่ค่อยนิยมมาเล่นน้ำที่นี่ นอกจากไปหาอาหารทะเลอร่อยๆ รับประทานแล้ว นักท่องเที่ยวที่เดินทางไปที่หาดราไวย์ส่วนใหญ่ก็เพื่อใช้เป็นจุดขึ้นเรือไปยังเกาะต่างๆ เพราะที่นี่มีบริการเรือนำเที่ยวให้บริการอยู่มากมาย




👉สิ่งที่ไม่ควรพลาดเมื่อไปเที่ยวหาดราไวย์

             อาหารทะเลสดๆ ร้านอาหารทะเลสดๆ ริมหาดราไวย์จะแบ่งเป็น 2 ฝั่ง คือ ฝั่งร้านอาหาร กับฝั่งที่เป็นแผงขายอาหารทะเลสดๆ จากชาวประมงโดยตรงซึ่งราคาไม่แพง สิ่งที่เป็นไฮไลต์ของการมาเที่ยวที่หาดราไวย์ คือ การเลือกซื้ออาหารอาหารทะเลสดๆ มาให้ที่ร้านปรุง ไม่ว่าจะต้องการไซส์เล็ก ไซส์ใหญ่ หรือสดแค่ไหนก็สามารถเลือกซื้อกันได้ตามพอใจ จากสะพานปลาหาดราไวย์ ให้สังเกตป้ายท่าเทืยบเรือหาดราไวย์ ด้านซ้ายมือจะมีแยกเล็กๆ ซึ่งเป็นตลาดขายอาหารทะเลสด และมีร้านรับปรุงอาหารทะเลอยู่หลายร้าน  (https://palanla.com/index.php?op=domesticLocation-detail&id=111)





* *.:。✿*゚・•*.:✿✲-•(¯`°•.* * .°¯)*¤°• •::* 。✿*¨゚✎・

😊The Big Buddha Image Phuket (พระใหญ่ ภูเก็ต)

สักการะ พระใหญ่ แห่ง ภูเก็ต พร้อมชมวิวเมืองแบบรอบทิศ 360 องศาไปเลย

👉ที่มา ของ พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี (พระใหญ่)

     วัดพระใหญ่ หรือชื่อเรียกเต็มๆ คือ พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี ตั้งอยู่บนยอดเขานาคเกิด ตำบลกะรน อำเภอเมืองภูเก็ต จังหวัดภูเก็ต เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยองค์สีขาว ที่สร้างตั้งอยู่อย่างโดดเด่นสวยงดงาม มีความกว้าง 25 เมตร สูง 45 เมตร สร้างจากคอนกรีตเสริมเหล็กที่ประดับด้วยหินอ่อนสีขาวหยกพม่า น้ำหนักของหินอ่อนหยกสีขาวประมาณ 135 ตัน ต่อ 2,500 ตารางเมตรเลยทีเดียวค่ะ

  ความสำคัญในการก่อสร้าง พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี นี้ ก็เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความสันตินั่นเองค่ะ เพื่อความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวและความหวัง โดยอาศัยการร่วมมือร่วมใจบริจาคของประชาชนชาวไทยและชาวต่างชาติที่อาศัยอยู่ในไทยค่ะ จนทำให้เกิด พระใหญ่ องค์นี้ขึ้นมาค่ะ

 👉จุดไฮไลท์ ของ พระพุทธมิ่งมงคลเอกนาคคีรี (พระใหญ่)

     นอกจากนี้ บนยอดเขายังสามารถมองวิวจากบริเวณฐานพระที่เป็นจุดชมวิว 360 องศาได้อีกด้วยค่ะ เห็นได้ทั้งรอบภูเก็ต ไปจนถึงเกาะต่างๆ ทั้ง หาดกะตะ หาดกะรน อ่าวฉลอง เป็นต้น ถ้าได้มองดูจากด้านล่างจะเห็นเขานาคเกิดเป็นภูเขาที่สูง พร้อมกับองค์พระที่สวยงดงามเลยค่ะ ส่วนบริเวณรอบองค์พระ ก็จะมีพระประจำวันเกิดต่างๆ และ องค์พระเกจิชื่อดังหลายองค์ ทั้ง หลวงปู่สรวง หลวงปู่มั่น จตุคามรามเทพ ให้ได้สักการะกันด้วยค่ะ (https://travel.trueid.net/detail/BWR2aLoorozW)








* *.:。✿*゚・•*.:✿✲-•(¯`°•.* * .°¯)*¤°• •::* 。✿*¨゚✎・ 

😊บ้านชินประชา Chinpracha House - Phuket 

บ้านชินประชาได้เริ่มทำการก่อสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2466 โดยพระพิทักษ์ชินประชา หรือ ตันม่าเสียง[1] ซึ่งมีบิดาชื่อ หลวงบำรุงจีนประเทศ (ตันเนียวยี่) เป็นชาวฮกเกี้ยนที่ได้รับราชการทหารในประเทศจีน ต่อมาบิดาท่านได้เดินทางมายังประเทศไทยในปี พ.ศ. 2397 ได้ริเริ่มทำกิจการเหมืองแร่ดีบุกขึ้นในภูเก็ต และได้ทำการกิจการค้าขายที่ เกาะปีนัง ประเทศมาเลเซีย ตันม่าเสียง เป็นผู้สร้างบ้านหลังนี้ขึ้น เมื่อ พ.ศ. 2426 ในเกาะภูเก็ต เมื่ออายุได้ 20 ปี ท่านได้เริ่มก่อสร้างบ้านหลังนี้ขึ้นเป็นศิลปะแบบ ชิโน-โปรตุกีส เป็นหลังแรกของจังหวัดภูเก็ต หรือที่เรียกว่า อังม่อเหลา(https://th.wikipedia.org/wiki)

 บ้านชินประชา เป็นบ้านเก่าแก่สไตล์ชิโน-โปรตุกีส ซึ่งสร้างขึ้นเป็นแห่งแรกของเกาะภูเก็ต มีอายุกว่า 100 ปี ตั้งอยู่ที่ถนนกระบี่ ตำบลตลาดเหนือ ในตัวเมืองภูเก็ต เป็นบ้านของตระกูล ตัณฑวณิช ผู้เป็นเจ้าของได้อนุรักษ์ตัวอาคารและเครื่องเรือนเครื่องใช้ต่าง ๆ ในบ้านไว้เป็นอย่างดี โดยมีความมุ่งหวังให้สถานที่แห่งนี้เป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ซึ่งเป็นสถานที่แห่งหนึ่งที่แสดงถึงประวัติศาสตร์ความเป็นมาของภูเก็ตผ่านการใช้ชีวิตของผู้คนชาวภูเก็ต ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา

  ลักษณะที่โดดเด่นของบ้านคือ เป็นบ้านสองชั้น ประตูบ้านลงรักปิดทอง มีอักษรจีน มีหน้าต่างไม้หลายบานซึ่งในบานหน้าต่างทำเป็นบานเกล็ดเปิดปิดได้ เมื่อเข้ามาในบ้านจะเย็นสบายอากาศถ่ายเทสะดวก เนื่องจากตรงกลางบ้านเปิดโล่งเพื่อระบายอากาศ และมีสระน้ำเล็ก ๆ อยู่กลางบ้าน พื้นกระเบื้องจากอิตาลี บันไดไม้มีลวดลายสวยงามมาก เครื่องเรือนส่วนใหญ่เป็นไม้ฝังมุกนำมาจากเมืองจีน มีเครื่องใช้ เครื่องครัวโบราณ ภาพถ่าย ภาพวาดในอดีตที่สวยงามและน่าสนใจ

  บ้านชินประชาเปิดให้เข้าชมทุกวัน ค่าเข้าชมคนละ 100 บาท สอบถามรายละเอียด โทร. 0 7621 1167, 0 7621 1281

 👀ความเป็นมาของบ้านชินประชา

  บ้านชินประชาสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2466 (ค.ศ.1903) หรือในปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 5 โดยพระพิทักษ์ชินประชา (ตันม่าเสียง) บิดาของท่านคือ หลวงบำรุงจีนประเทศ (ตันเนียวยี่) เป็นชาวฮกเกี้ยนที่รับราชการทหารในประเทศจีน ต่อมาบิดาท่านได้เดินทางมายังประเทศไทยในปี พ.ศ. 2397 (ค.ศ. 1854) หรือในปลายรัชสมัยรัชกาลที่ 4 ได้ประกอบกิจการทำเหมืองแร่ดีบุกที่เกาะภูเก็ต และกิจการค้าขายที่เกาะปีนัง

   พระพิทักษ์ชินประชา (ตันม่าเสียง) ผู้สร้างบ้านหลังนี้ ถือกำเนิดที่เกาะภูเก็ตในปี พ.ศ. 2426 (ค.ศ.1883) เมื่ออายุได้ 20 ปี ท่านได้สร้างบ้านหลังนี้ตามแบบ ชิโน-โปรตุกีส เป็นหลังแรกของจังหวัดภูเก็ต หรือที่เรียกว่า อังม่อเหลา เฟอร์นิเจอร์ส่วนใหญ่เป็นมรดกตกทอดจากบรรพบุรุษเมืองจีน วัสดุส่วนอื่นของบ้านนั้นส่วนใหญ่นำเข้ามาจากต่างประเทศ เนื่องจากการค้าขายทางเรือผ่านเกาะปีนังมายังภูเก็ต ในสมัยนั้นเฟื่องฟู เช่น รั้วบ้านจากฮอลแลนด์ กระเบื้องปูพื้นจากอิตาลี ฯลฯ ปัจจุบันบ้านชินประชามีอายุกว่า 100 ปี และมีลูกหลาน นับเนื่องเป็นรุ่นที่ 6 แล้ว

 ข้อมูลเพิ่มเติม:ททท. สำนักงานภูเก็ต 0 7621 1036 , 0 7621 2213(http://www.tourismthailand.org/phuket)


























* *.:。✿*゚・•*.:✿✲-•(¯`°•.* * .°¯)*¤°• •::* 。✿*¨゚✎・ 

😊วัดฉลอง หรือ วัดไชยธาราราม 

เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางศาสนาในจังหวัดภูเก็ต ที่ถูกบรรจุอยู่ในโปรแกรม Phuket city Day trip ของบริษัททัวร์ เป็นวัดที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน และมีความสวยงามที่สุดในภูเก็ต วัดแห่งนี้ตั้งอยู่อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ต 8 กิโลเมตร และห่างจากอ่าวฉลอง 3 กิโลเมตรเศษ วัดแห่งนี้มีชื่อเสียงจากความศักดิ์สิทธิ์ของ หลวงพ่อแช่ม อดีตเจ้าอาวาสวัดฉลอง ไม่เฉพาะชาวภูเก็ตเท่านั้นที่เคารพ และ นับถือในความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อแช่ม ชื่อเสียงของหลวงพ่อแช่มไกลออกไปถึงประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซีย ปีนัง

👉ประวัติหลวงพ่อแช่มและความศักดิ์สิทธิ์

หลวงพ่อแช่มเป็นคนพังงา เกิดใน พ.ศ. 2370 ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 3 ท่านได้บวชเป็นสามเณร และ พระภิกษุ ได้เรียนรู้ศึกษาวิปัสนาธุระจากพ่อท่านเฒ่า (เจ้าอาวาสวัดฉลองในตอนนั้น) ความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อแช่มเกิดขึ้นในตอนที่ภูเก็ตเต็มไปด้วยคนจีนที่มาทำเหมืองแร่ และชาวจีนได้รวมตัวกันเป็นอั้งยี่ ต้องการยึดและปกครองภูเก็ต ได้มีการทำร้าย ไล่ฆ่าชาวบ้าน ล้มตายเป็นจำนวนมาก ชาวบ้านได้หนีเข้าป่า และส่วนหนึ่งหนีเข้ามาอาศัยที่วัดฉลอง

ชาวบ้านได้ขอให้หลวงพ่อแช่มทำเครื่องรางเพื่อเป็นขวัญและกำลังใจ ต่อหลวงพ่อแช่มได้ทำผ้าประเจียดแจกโผกศีรษะคนละผืน ชาวบ้านได้สู้รบกับอั้งยี่ ครั้งนี้อั้งยี่ไม่สามารถทำอะไรชาวบ้านได้เลย ซึ่งเป็นชัยชนะครั้งแรกของชาวบ้าน ชาวบ้านจึงนับถือในความศักดิ์สิทธิ์และบารมีของหลวงพ่อแช่ม ต่อมาชาวบ้านได้รวบรวมตัวกันสู้กับอั้งยี่จนได้รับชัยชนะ

ความศักดิ์สิทธ์ของหลวงพ่อแช่มเกิดขึ้นหลายครั้ง 

ชื่อเสียงของหลวงพ่อแช่มเลื่องลือไปไกล มีผู้คนมาบนบานเป็นจำนวนมาก บางคนก็แก้บนด้วยวิธีแปลกๆ เช่นติดทองบนร่างกายหลวงพ่อแช่ม

👉ประวัติวัดฉลอง   เป็นวัดเก่าแก่ ไม่มีบันทึกที่แน่ชัดว่าสร้างขึ้นเมื่อใด แต่มีบันทึกขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 เดิมมีชื่อว่า “วัดฉลอง” พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ได้ทรงเปลี่ยนชื่อ เสียใหม่เป็น “วัดไชยธาราราม” แต่ชาวบ้านยังคงติดปากเรียกว่าวัดฉลองอยู่ เพราะเป็นชื่อที่เรียกง่าย และ สั้นกว่าhttps://www.emagtravel.com/archive/wat-chalong.html




















* *.:。✿*゚・•*.:✿✲-•(¯`°•.* * .°¯)*¤°• •::* 。✿*¨゚✎・ 

😊วัดพระทอง (วัดพระผุด) ภูเก็ต

😊วัดพระทอง หรือ วัดพระผุด เป็นวัดเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงวัดหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ที่ตั้งของวัดพระทองอยู่ทางด้านทิศเหนือของเกาะภูเก็ต ใกล้ถนนเทพกระษัตรี เหมาะที่จะแวะหลังจากลงเครื่องที่สนามบินภูเก็ต หรือ ก่อนไปขึ้นเครื่อง เนื่องจากอยู่ห่างจากสนามบินภูเก็ตประมาณ 10 กิโลเมตรเท่านั้น

👉ที่มาของชื่อ “วัดพระผุด” มาจากที่วัดแห่งนี้มีพระพุทธรูปที่โผล่จากพื้นดินเพียงครึ่งองค์ ในปี พ.ศ. พระเจ้าปะดุง แม่ทัพพม่า ยกพลมาตีเมืองถลาง ทหารพม่าพยายามที่จะขุดพระผุดเอากลับไป แต่เมื่อลงมือขุดก็เจอกับฝูงแตนไล่ต่อย จนต้องล้มเลิก

👉ในวัดพระทอง นอกจากจะมีพระผุดเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำวัดแล้วยังมี พิพิธภัณฑสถานวัดพระทอง เป็นที่เก็บรวบรวมโบราณวัตถุข้าวของเครื่องใช้ของชาวภูเก็ตในสมัยก่อน เช่นอุปกรณ์การทำเหมืองแร่ รองเท้าของชาวจีนในสมัยก่อน (https://www.emagtravel.com/archive/wat-prathong.html)










* *.:。✿*゚・•*.:✿✲-•(¯`°•.* * .°¯)*¤°• •::* 。✿*¨゚✎・ 

😊Thao Thep Kasattri Thao Sri Sunthon Monument (อนุสาวรีย์ท้าวเทพกระษัตรี ท้าวศรีสุนทร)

👉อนุสาวรีย์ของสองท้าวแห่งนี้ตั้งอยู่ที่วงเวียนสี่แยกท่าเรือ ตำบลซรีสุนทร อำเภอถลาง จังหวัดภูเก็ต โดยได้มีการสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2509 โดยมีการปรากฏไว้ใหลักฐานสำคัญในจดหมายเหตุเมืองถลาง และเพื่อเป็นการสนองต่อพระราชดำริในประบามสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในคราวที่ได้เสด็จไปเพื่อเปิดถนนสายถลางที่ได้ประราชทานนามว่า ถนนเทพกระษัตรีและได้มีการนำชื่อของสองท้าวมาตั้งเป็นชื่อตำบลเทพกระษัตรีและตำบลศรีสุนทรอีกด้วย โดยจะมีการจัดงานรำลึกถึงวีรกรรมของวีรสตรีสองท้าวนี้เป็นประจำในทุกปี
👉ลักษณะเด่น
-เป็นอนุสาวรีย์ของวีรสตรี 2 ท่านแห่งเมืองถลางเกาะภูเก็ต
-เป็นอนุสาวรีย์ที่ผู้คนนิยมมากราบไหว้ สักการะ
👉ประวัติ
ท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทรหรือคุณหญิงจันกับคุณหญิงมุกเป็นอีกหนึ่งสถานที่อันเป็นอนุสรณ์สถานแห่งประวัติศาสตร์ชาติไทยและเพื่อเป็นการสำนึกและรำลึกถึงวีรกรรมรวมทั้งความเสียสละเพื่อปกป้องชาติของวีรสตรีแห่งเมืองถลางเกาะภูเก็ตแห่งนี้ อนุสาวรีย์วีรสตรีอยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตประมาณ 12 กิโลเมตร โดยอนุสาวรีย์แห่งนี้เป็นรูปปั้นของท้าวเทพกระษัตรีและท้าวศรีสุนทรที่เป็นวีรสตรีผู้มีความกล้าหาญและเสียสละด้วยความรักชาติซึ่งในตอนนั้น พม่าได้ยกทัพเข้ามาโจมตีโดยแบ่งออกเป็น 9 ทัพ หรือที่เรียกกันว่าสงครามทัพที่เกิดขึ้นในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี โดยพม่าได้แบ่งทัพแยกออกเพื่อเข้าตีเมืองต่างๆของดินแดนสยาม ณ ขณะนั้น โดยมีทัพหนึ่งได้เข้าทางเมืองกระ ตะกั่วป่า ตะกั่วทุ่งซึ่งใกล้กับเมืองถลาง คุณหญิงจันและคุณหญิงมุกซึ่งเป็นภริยาของเจ้าเมืองแต่เนื่องจากสามีของตนได้ถูกลอบสังหารเสียชีวิต จึงได้ทำการรวบรวมกำลังคนชาวบ้านทั้งชายและหญิงให้แต่งกายเป็นนักรบชายเพื่อต่อสู้กับข้าศึกโดยคุณหญิงทั้งสองได้แต่งกายเป็นชายโดยใช้ทั้งความสามารถและกลอุบายต่อสู้กับทัพของพม่าจนได้รับชัยชนะในที่สุด ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชจึงได้มีพระราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้บำเหน็จแก่ผู้ทำคุณความดีแก่แผ่นดิน โดยพระราชทานการแต่งตั้งให้คุณหญิงจันเป็นท้าวเทพกระษัตรี ส่วนคุณหญิงมุกได้รับพระราชทานแต่งตั้งเป็นท้าวศรีสุนทร


* *.:。✿*゚・•*.:✿✲-•(¯`°•.* * .°¯)*¤°• •::* 。✿*¨゚✎・