วันอาทิตย์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2564

บันทึกเดินทาง อยุธยา(Ayutthaya,Thailand)

👉พระนครศรีอยุธยา เป็นจังหวัดหนึ่งในภาคกลางและเป็นเขตเศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่สำคัญ โดยมีผลิตภัณฑ์มวลรวมของจังหวัดมีมูลค่าสูงเป็นอันดับ 3 ของประเทศ[4] และมีประวัติศาสตร์ความเป็นมาที่ยาวนาน เคยมีชื่อเสียงในฐานะเป็นแหล่งปลูกข้าวที่สำคัญ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาเป็นจังหวัดที่ไม่มีอำเภอเมือง มีอำเภอพระนครศรีอยุธยาเป็นศูนย์กลางการบริหารจัดการด้านต่าง ๆ ชาวบ้านโดยทั่วไปนิยมเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "กรุงเก่า" หรือ "เมืองกรุงเก่า" ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 75 กิโลเมตร

👍วัดมหาธาตุ (Wat Mahathat)😊

เป็นปูชนียสถาน วัดพระอารามหลวงที่ประทับสมเด็จพระสังฆราชฝ่ายคามวาสี โดดเด่นด้วยพระปรางประธานบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ พร้อมพระปรางค์ขนาดกลางเรียงราย และไฮไลท์ของวัดที่นักท่องเที่ยวจะพลาดไม่ได้ คือ เศียรพระพุทธรูปที่ถูกโอบล้อมด้วยรากโพ

วัดมหาธาตุเป็นหนึ่งในอุทยานประวัติศาสตร์พระนครศรีอยุธยา เริ่มก่อสร้างในปี พ.ศ. 1917 สมัยขุนหลวงพระงั่ว หรือสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1 และมาสร้างแล้วเสร็จในสมัยสมเด็จพระราเมศวร ในปี พ.ศ. 1927 สมเด็จพระราเมศวรทรงอัญเชิญพระบรมสารีรกธาตุไปบรรจุไว้ในพระปรางค์ประธาน

วัดมหาธาตุเป็นวัดพระอารามหลวงและเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชฝ่ายคามวาสีมีตำหนักของท่านอยู่ทางทิศตะวันตก วัดมหาธาตุเป็นวัดที่ใช้ประกอบพระราชพิธีทางศาสนาต่างๆ กระทั่งมีการสร้างวัดพระศรีสรรเพชญ์ขึ้น จึงได้ย้ายไปประกอบพิธีกรรมที่วัดพระศรีสรรเพชญ์แทน

ลักษณะเด่นของวัดมหาธาตุคือมีวิหารขนาดใหญ่อยู่ด้านหน้าของวัด พระปรางค์ประธานที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่ตรงกลาง ส่วนอุโบสถอยู่ด้านหลัง โดยพระปรางค์ประธานจะเปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุ ซึ่งแตกต่างจากวัดในสมัยรัตนโกสินทร์ที่จะเปรียบโบสถ์เสมือนเป็นเขาพระสุเมรุ นอกจากนี้แทนที่จะมีกำแพงแก้วรอบโบสถ์กลับมีวิหารคดรอบองค์พระปรางค์ประธานแทน

👀สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด

👉เจดีย์แปดเหลี่ยม  นับเป็นสถาปัตยกรรมที่ไม่เคยปรากฏที่ใดในอยุธยา มีแต่ที่วัดมหาธาตุที่นี่ที่เดียว โดยเจดีย์ดังกล่าวเป็นเจดีย์ฐานแปดเหลี่ยมลดหลั่นกัน มีทั้งหมด 4 ชั้น ต่างจากเจดีย์โดยทั่วไปที่ฐานมักจะเป็นทรงกลมหรือสี่เหลี่ยม


😊เศียรพระในต้นไม้   เศียรพระที่มีต้นโพธิ์ขึ้นคลุม มีแต่บริเวณพระพักตร์ของพระพุทธรูปโผล่ออกมาให้เห็น นับเป็นไฮไลท์ของวัดมหาธาตุ โดยสันนิษฐานกันว่าเศียรพระน่าจะหักเมื่อครั้งเสียกรุง ในเวลาต่อมามีต้นโพขึ้นบริเวณนั้น รากโพจึงโอบล้อมเศียรเอาไว้ เศียรพระเป็นศิลปะอยุธยาตอนกลาง สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 21 แต่ลำตัวของพระกลับสูญหายไป เศียรพระดังกล่าวอยู่ข้างวิหารเล็กซึ่งมีรากโพปกคลุม กรมศิลปากรไม่สามารถโค่นโพออกได้เพราะรากโพมีส่วนในการช่วยพยุงวิหารเอาไว้





👉พระปรางค์ขนาดกลาง  พระปรางค์ขนาดกลางคือพระปรางค์ที่อยู่ด้านนอกของวิหารคด ซึ่งวิหารคดอยู่รอบพระปรางค์องค์ใหญ่อีกที ภายในพระปรางค์ขนาดกลางมีภาพจิตกรรมฝาผนังแสดงพระพุทธประวัติบางช่วงบางตอนเอาไว้


😊ซากปรักหักพังซึ่งเคยเป็นสถานที่สำคัญ  ประกอบได้ด้วย 2 ซากด้วยกัน คือ

👉ซากพระปรางค์ประธาน พระปรางค์ประธานของวัดมหาธาตุเคยพังลงมาสองครั้ง ครั้งแรกในสมัยพระเจ้าทรงธรรมและได้รับการบูรณะใหม่ในรัชสมัยพระเจ้าปราสาททอง และครั้งที่สองคือสมัยรัชกาลที่ 6 ในปีพ.ศ. 2454 แต่ไม่ได้มีการบูรณะใหม่ โดยกรมศิลปากรได้ย้ายพระบรมสารีริกธาตุในพระปรางค์ประธานไปประดิษฐานยังพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พระนคร ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2499
👉ตำหนักสมเด็จพระสังฆราช ปัจจุบันเป็นลานกว้างอยู่ทางทิศตะวันตกของวัด ในเอกสารของราชทูตลังกาได้บันทึกถึงความวิจิตรอลังการเอาไว้ว่าองค์ตำหนักทำจากไม้สลักลวดลายงดงามและปิดทอง ม่านกรองทอง (ใช้เส้นทองทอเป็นม่านโปร่ง) ภายในแขวนอัจกลับ ซึ่งอัจกลับก็คือกลุ่มเชิงเทียนทองเหลืองระย้าสำหรับแขวนเพดาน สามารถปักเทียนได้ดั้งแต่ 30-100 เล่ม ขึ้นกับขนาดของอัจกลับ (https://www.talontiew.com/wat-mahathat-ayutthaya/)











*゚・✿. *.:。✿*゚・•*.:✿✲-•(¯`°•.* * .°¯)*¤°• •::* 。✿*¨゚✎・ .

👀วัดพนัญเชิงวรวิหาร (Wat Phanan Choeng)
วัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ก่อนสถาปนากรุงศรีอยุธยา ที่ประดิษฐานพระไตรรัตนนายก พระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดในจังหวัด พร้อมด้วยตำนานโศกนาฎกรรมความรักระหว่างพระเจ้าสายน้ำผึ้งและพระนางสร้อยดอกหมาก เที่ยวชมตำหนักพระแม่สร้อยดอกหมากที่ขึ้นชื่อในด้านความศักดิสิทธิ์

               วัดพนัญเชิงวรวิหารเป็นวัดอารามหลวง ชั้นโท ชนิดวรวิหาร ตามพงศาวดารเหนือกล่าวว่าวัดพนัญเชิงสร้างขึ้นโดยพระเจ้าดวงเกรียงกฤษณราช หรือพระเจ้าสายน้ำผึ้ง ไม่ทราบปีที่สร้าง แต่พระราชพงศาวดารกรุงเก่า ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์กล่าวว่าพระเจ้าศรีธรรมโศกราช พระราชนัดดา (หลานปู่) ในพระเจ้าสายน้ำผึ้ง โปรดฯ ให้สร้างพระพุทธเจ้าพแนงเชิงขึ้นเมื่อปี พ.ศ.1867 ซึ่งนั่นเป็นสมัยสุโขทัย และเป็นเวลาก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาถึง 26 ปี

นอกจากประวัติศาสตร์อันยาวนานของวัดพนัญเชิงแล้วยังมีตำนานการสร้างวัดที่ไม่ธรรมดา ดังที่จะได้เล่าในส่วนของตำหนักนางสร้อยดอกหมากต่อไป


😊สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด😉

👉พระไตรรัตนนายก (พระพุทธเจ้าพแนงเชิง)

พระไตรรัตนนายกเป็นพระประธานของวัดพนัญเชิง เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัยที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในอยุธยา โดยมีความสูง 19 เมตร และมีหน้าตัก 20 เมตร ชาวบ้านจึงเรียกกันว่าหลวงพ่อโตวัดพนัญเชิง

พระไตรรัตนายกเดิมมีชื่อว่า พระพุทธเจ้าพแนงเชิง โดยคำว่า ‘พแนงเชิง’ หมายถึง การนั่งขัดสมาธิ แต่ในบางตำนานเล่าว่าเป็นชื่อที่เพี้ยนมากจากคำว่า ‘พระนางเชิญ’ ตามตำนานการเชิญพระนางสร้อยดอกหมากขึ้นจากเรือ ต่อมาในปี พ.ศ. 2349 รัชกาลที่ 4 โปรดฯ ให้บูรณะใหม่และพระราชทานนามว่าพระไตรรัตนายก สำหรับชาวจีนมักเรียกท่านว่าหลวงพ่อซำปอกง (三寶公)  โดยคำว่า ซำ (三) แปลว่าสาม, ป้อ (寶) คือ แก้ว และ กง (公) เป็นคำยกย่องบุคคลเพศชาย ซำปอกงจึงเป็นการแปลคำว่าพระไตรรัตนนายกเป็นภาษาจีนนั่นเอง นอกจากนี้ในปี พ.ศ. 2397 ในหลวงรัชกาลที่ 4 ถวายพัดยศแฉกลายทอง รูปกลีบพุ่มข้าวบิณฑ์ ตั้งประดับอยู่หน้าองค์พระอีกด้วย

หลังจากนั้นในสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดไฟไหม้ผ้าที่ห่มองค์พระจนเห็นรอยร้าวบนองค์พระหลายแห่ง ในหลวงรัชกาลที่ 5 จึงโปรดให้บูรณะ หลังจากนั้นเสด็จไปปิดทองด้วยพระองค์เองและโปรดฯ ให้มีการจัดงานสมโภชขึ้น ในสมัยรัชกาลที่ 7 พระหนุ (คาง) ของพระไตรรัตนนายกได้พังลงมา เกิดเป็นช่องโหว่ลึกถึงพระปรางทั้งสองข้าง จึงต้องบูรณะอีกครั้ง ในการบูรณะซ่อมแซมครั้งนี้ได้เปลี่ยนพระอุณาโลมจากแต่เดิมที่เป็นทองแดงล้วนให้เป็นทองคำด้วย











👉ตำหนักพระนางสร้อยดอกหมาก ตามตำนานเล่าว่าพระเจ้ากรุงจีนได้พระราชทานนางสร้อยดอกหมากซึ่งเป็นพระธิดาบุญธรรมให้พระเจ้าสายน้ำผึ้ง ขณะที่พระองค์เสด็จกรุงจีน ทว่าเมื่อกลับมายังอยุธยา พระนางรออยู่ในเรือ และพระเจ้าสายน้ำผึ้งก็มีพระราชกิจมากมายจึงโปรดให้เสนาอำมาตย์ไปเชิญพระนางขึ้นจากเรือ แต่พระนางไม่ยอมขึ้นท่า เพราะทรงต้องการให้พระเจ้าสายน้ำผึ้งเสด็จมารับด้วยพระองค์เอง พระเจ้าสายน้ำผึ้งตรัสหยอกว่าไม่ขึ้นก็อยู่ในเรือไปแล้วกัน พระนางจึงกลั้นใจตาย พระเจ้าสายน้ำผึ้งทรงโศกเศร้าเป็นอย่างยิ่ง จึงสร้างวัดไว้ริมฝั่งที่พระนางกลั้นใจตายและให้ชื่อว่าวัดพระนางเชิญกระทั่งเพี้ยนมาเป็นวัดพนัญเชิงในปัจจุบัน

ตำหนักพระแม่สร้อยดอกหมากเป็นเก๋งจีน สร้างด้วยสถาปัตยกรรมจีนทั้งหลัง ว่ากันว่าพระแม่สร้อยดอกหมาศักดิสิทธิ์มาก ใครขอพรใดๆ มักได้สมประสงค์ วันเวลาที่น่าเที่ยวมากที่สุดคือวันเกิดพระแม่สร้อยดอกหมากซึ่งจะจัดติดต่อกัน 4 วันในเดือนเมษายน และมีงิ้วมาแสดงหลายคณะ

https://www.talontiew.com/wat-phanan-choeng/

*゚・✿. *.:。✿*゚・•*.:✿✲-•(¯`°•.* * .°¯)*¤°• •::* 。✿*¨゚✎・ .

👀วัดใหญ่ชัยมงคล (Wat Yai Chaimongkol)😉

วัดโบราณสถานที่ได้รับการฟื้นฟูจนมีพระจำพรรษามาตั้งแต่ปี 2500 จุดเด่นคือเจดีย์ชัยมงคลที่สมเด็จพระเนรศวรมหาราชทรงสร้างขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะเหนือพม่าและเป็นไปได้ว่าพระอัฐิในสมเด็จพระเนรศวรอาจจะอยู่ในเจดีย์แห่งนี้ด้วย ภายในวัดมีพระนอนขนาดใหญ่ประดิษฐานอยู่ในซากวิหารพระไสยาสน์ ด้านหลังของวัด คือ ตำหนักสมเด็จพระเนรศวรที่ยิ่งใหญ่สมพระบารมี

            วัดใหญ่ชัยมงคลเดิมชื่อวัดป่าแก้วสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1900 ตามตำนานเล่าว่าเมื่อครั้งสมเด็จพระเจ้าอู่ทองปลงพระศพเจ้าแก้ว ทรงสร้างวัดป่าแก้วขึ้นในที่ปลงศพ เชื่อกันว่าพระอุโบสถวัดป่าแก้วเป็นที่อ

👉สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด




พระเจดีย์ชัยมงคล เจดีย์ชัยมงคลเป็นเจดีย์ใหญ่เป็นเจดีย์ทรงระฆังขนาดใหญ่ แต่ไม่มีบัลลังก์รองรับปล้องไฉนและปลี เจดีย์แห่งนี้เป็นที่บรรจุชัยมงคลคาถาหรือพาหุงมหากา เป็นบทสรรเสริญชัยชนะของพระพุทธองค์ 8 ประการด้วยกัน รอบบานเจดีย์มีพระพุทธรูปปางมารวิชัยประจำอยู่ 4 ทิศ ระเบียงคดรอบเจดีย์ประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย ปัจจุบันเจดีย์และพระพุทธรูปอยู่ในสภาพดีมาก จึงยังเปิดให้สาธุชนเข้าไปภายในเจดีย์เพื่อชมร่องรอยของความงดงามและสักการะสิ่งศักดิสิทธิ์










😉พระนอน

ที่วัดใหญ่ชัยมงคลมีพระนอนองค์ใหญ่อยู่ภายในวิหารพระไสยาสน์ แม้วิหารจะผุพังไปตามกาลเวลาเหลือเพียงผนังและเสาบัวกลุ่ม แต่องค์พระได้รับการบูรณะเป็นอย่างดี พระนอนองค์นี้เป็นพระพุทธรูปปางทรงพักผ่อนพระอิริยาบถ เพราะทรงลืมพระเนตร พระเศียรหนุนหมอน และไม่มีหมอนรองใต้พระกัจฉะ (รักแร้) นับเป็นพระพุทธรูปองค์เดียวในวัดใหญ่ชัยมงคลที่สื่อถึงการพักผ่อน เพราะองค์อื่นๆ อยู่ในปางมารวิชัยซึ่งแสดงพุทธประวัติช่วงที่พระพุทธองค์ทรงมีชัยชนะเหนือมาร

😉ตำหนักสมเด็จพระเนรศวรมหาราช

อยู่ด้านหลังวัดใหญ่ชัยมงคล เริ่มสร้างปี พ.ศ. 2535 แล้วเสร็จเมื่อ พ.ศ. 2544 โดยรอบตำหนักมีไก่ชนปูนปั้นมากมายเพราะเชื่อกันว่าพระองค์ท่านโปรดไก่ชน ทางเข้าอฃค์พระตำหนักมีรูปปั้นช้างทรงประจำอยู่ ภายในมีพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเนรศวรทรงหลั่งทักษิโณทก เพื่อเป็นการระลึกถึงเมื่อครั้งที่พระองค์ท่านทรงประกาศอิสรภาพ ตำหนักแห่งนี้มีขนาดใหญ่ มีน้ำล้อมรอบ ร่มรื่นและสวยงามสมพระบารมี จึงนับเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่งที่เมื่อมาถึงวัดใหญ่ชัยมงคลแล้วจะพลาดไม่ได้

😉ศาลเจ้าพ่อสิทธิชัย

ศาลเจ้าพ่อสิทธิชัยเป็นศาลไม้สักทองทั้งหลัง เชื่อกันว่าดวงพระวิญญาณของพระราชโอรสในพระครรภ์สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์หรือพระนางเรือร่ม มเหสีองค์ที่ 5 ในรัชกาลที่ 5 สถิตอยู่ที่นี่ ซึ่งในขณะนั้นทารกมีอายุในครรภ์ 5 เดือน ศาลเจ้าพ่อสิทธิชัยมีความศักดิสิทธิมาก ชาวอยุธยาเชื่อว่าไม่ว่าบนบานสานกล่าวอะไรก็ได้สมความประสงค์ทุกอย่างธิษฐานเสี่ยงทายของพระเฑียรราชาว่าจะลาสิกขาจากสมณเพศและขึ้นครองราชย์หรือไม่ ในสมัยสมเด็จพระเนรศวรมหาราช หลังจากที่ทรงชนะการทำยุตหัตถีกับพระมหาอุปราช สมเด็จพระเนรศวรมหาราชจึงโปรดให้สร้าง ‘เจดีย์ชัยมงคล’ ภายในบรรจุพระชัยมงคลคาถา ขึ้นที่วัดป่าแก้วเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองชัยชนะเหนือทัพพม่า อีกทั้งยังพระราชทานชื่อวัดเสียใหม่ว่า ‘วัดใหญ่ชัยมงคล’  สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงสันนิษฐานว่าแม้แต่พระบรมอัฐิพระเนรศวรมหาราชก็น่าจะอยู่ในเจดีย์แห่งนี้ด้วย

https://www.talontiew.com/wat-yai-chai-mongkhon/

*゚・✿..:*.:。✿*゚・•*.:✿✲-•(¯`°.•°•.* * .•°•.°´¯)*¤°• •:.:* *.:。✿*¨゚✎・ .

👀วัดไชยวัฒนาราม(Wat Chai Watthanaram)😉

เป็นวัดหลวงที่บำเพ็ญพระราชกุศลและที่ถวายพระเพลิงเจ้านายทุกพระองค์ แม้แต่พระอัฐิเจ้าฟ้ากุ้งก็ถูกเก็บรักษาไว้ที่นี่ วัดเดียวที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงชัยชนะเหนืออาณาจักรขอม ผังวัดจำลองมาจากนครวัด และได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก เมื่อปี พ.ศ. 2535

วัดไชยวัฒนารามหรือวัดไชยวัฒนาราม สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2173 พระเจ้าประสาททองทรงดำริสร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นพระราชกุศลแด่พระราชมารดา เพราะที่แห่งนี้เคยเป็นที่ประทับของพระราชมารดามาก่อน อย่างไรก็ดีนักวิชาการหลายท่านกลับเห็นว่ามีโอกาสเป็นไปได้สูงที่วัดชัยวัฒนารามจะถูกสร้างขึ้นเพื่อรำลึกว่าครั้งหนึ่งอยุธยาเคยกำชัยชนะเหนือเมืองละแวก เมืองหลวงของอาณาจักรเขมร เพราะ

  1. วัดไชยวัฒนารามจำลองรูปแบบมาจากนครวัด
  2. เดิมวัดไชยวัฒนารามมีชื่อว่าวัดชัยชนะอารามเมืองละแวกถูกพระเนรศวรมหาราช พระปิตุลา (ลุง) ของพระเจ้าปราสาททองตีแตกในปี พ.ศ. 2136 จนสมเด็จพระสัตถากษัตริย์เขมรต้องหนีไปอยู่ล้านช้าง กระทั่งสมเด็จพระรามเชิงไพรรวบรวมคนขับไล่ทัพสยาม สมเด็จพระเนรศวรทรงส่งพระมหามนตรีไปทำศึกแต่พ่ายแพ้ เป็นเหตุให้เขมรประกาศอิสรภาพอีกครั้งในปี พ.ศ. 2138
  3. พระเจ้าปราสาททองทรงเคยรับราชการในตำแหน่งเจ้าพระยากลาโหม จึงเป็นไปได้ว่าจะทรงภูมิใจกับการที่อยุธยามีชัยเหนือเขมรในครั้งนั้น   นับแต่สร้างวัดขึ้นมา วัดชัยวัฒนารามก็เป็นสถานที่บำเพ็ญกุศลของกษัตริย์ทุกพระองค์และเป็นสถานที่ถวายพระเพลิงกษัตริย์ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์อีกด้วย นอกจากนี้วัดชัยวัฒนารามยังมีอีกหนึ่งความสำคัญคือ วัดแห่งนี้เป็นที่มาของพระนามสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง แต่เดิมเมื่อครั้งขึ้นเสวยราชสมบัติ พระองค์ท่านทรงเฉลิมพระนามว่า  สมเด็จพระเอกาทศรถอิศวรบรมนาถบรมบพิตร (พระนามเดียวกับพระราชบิดา) แต่หลังจากที่สร้างวัดชัยวัฒนารามแล้ว เนื่องจากยอดของปรางค์ประธานเปรียบเสมือนที่สถิตของปราสาทไพชยนต์วิมานตามคติความเชื่อแบบขอม อีกทั้งยังปิดทองทั่วทั้งองค์ ผู้คนจึงเรียกปรางค์ประธานของวัดชัยวัฒนารามว่า ‘’ปราสาททอง” และเรียกพระเจ้าอยู่หัวผู้โปรดให้สร้างปราสาททองนี้ว่าสมเด็จพระเจ้าปราสาททองด้วย

วัดไชยวัฒนารามเป็นหนึ่งในวัดที่ถูกเผาทำลายเมื่อครั้งเสียกรุงครั้งที่ 2 ต่อมาเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2474 วัดชัยวัฒนารามได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติ และในวันที่  13 ธันวาคม พ.ศ. 2535 วัดชัยวัฒนาราม ก็ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลก


👉สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด

😉ปรางค์ประธาน พระปรางค์ประธานมีชื่อว่า “พระปรางค์ศรีรัตนมหาธาตุ” ปัจจุบันแม้พังทลายลงมาแล้ว แต่ก็ยังคงมีร่องรอยแห่งความยิ่งใหญ่ให้เห็นกันอยู่

😉ชมผังวัดที่จัดเป็นมณฑลจักวาลตามแบบนครวัด  การจัดเรียงปราสาทในเขตมณฑลจักรวาลตามคัมภีร์พระเวทย์เป็นศาสตร์การวางผังเมืองของอินเดียโบราณ ที่ขอมรับมาใช้ โดยในวัดชัยวัฒนารามนั้น ปรางค์ประธษนเปรียบเสมือนเขาพระสุเมรุ ยอดปรางค์คือปราสาทไพชยนต์วิมานที่ประทับของพระอินทร์บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ปรางค์บริวารบนฐานเดียวกับปรางค์ประธานแทนสัตบริภัณฑ์คีรีในป่าหิมพานต์ เมรุทิศเมรุราย 8 องค์ แทนมหาทวีปทั้ง 4 และมหาสมุทรทั้ง 4 ระเบียงคดคือสุดเขตมณฑลจักรวาล ส่วนโบสถ์อยู่นอกระเบียงคด ถือเป็นสถานที่ของมนุษย์และสงฆ์ ไม่ใช่สถานที่ของเทพ

😉เจดีย์บรรจุพระอัฐิเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศ (เจ้าฟ้ากุ้ง) เมื่อขับรถมาตามถนน 3469 จะพบเจดีย์ดังกล่าวก่อนถึงซากโบสถ์และปรางค์ประธาน โดยเจ้าฟ้ากุ้งทรงเป็นยอดกวีของไทยพระองค์หนึ่งที่คนรุ่นใหม่หลายคนรู้จัก เมื่อไปถึงแล้ว ก็ควรจะแวะสักการะสักนิด

https://www.talontiew.com/wat-chaiwatthanaram/































*゚・✿.. *.:。✿*゚・•*.:✿✲-•(¯`°.•°•.* * .•°•.°´¯)*¤°• .:* *.:。✿*¨゚✎・ .

👉วัดพุทไธศวรรย์(Wat Phutthai Sawan) 😉



วัดพระอารามหลวงสมัยกรุงศรีอยุธยาที่ได้รับการสถาปนาเป็นพระอารามหลวงอีกครั้งในสมัยรัชกาลที่ 9 วัดอันเป็นที่ระลึกการสร้างเมืองของสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง ชมพระปรางค์ประธานที่ประดิษฐานเดิมของเทวรูปพระเจ้าอู่ทองแห่งหอพระเทพบิดร วัดพระแก้ว และพระพุทธไธศวรรย์ พระนอนที่มีลักษณะไม่เหมือนที่ใดในอยุธยา

ก่อนที่สมเด็จพระเจ้าอู่ทองจะสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ทรงเคยเสด็จมาตั้งพลับพลาอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา นอกเกาะเมืองถึง 3 ปี จึงเคลื่อนพลไปหนองโสน (บึงพระรามในปัจจุบัน) พระราชพงศาวดารจารึกว่าบริเวณนี้เรียกว่า ‘เวียงเล็ก’ หรือ ‘เวียงเหล็ก’ หลังจากที่ทรงสถาปนากรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. 1893 แล้วจึงสร้างวัดพุทไธศวรรย์ขึ้นในปี พ.ศ. 1896 บริเวณที่พระองค์ท่านเคยตั้งพลับพลา เพื่อเป็นพระบรมราชานุสรณ์การตั้งกรุงศรีอยุธยา

วัดพุทไธศวรรย์เป็นหนึ่งในวัดอารามหลวง หลังจากสมัยสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง วัดได้ถูกก่อสร้างเพิ่มเติมตลอดมา ในสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ พระเจ้าบุเรงนองยกทัพมาล้อมพระนคร ก็ตั้งทัพที่วัดพุทไธศวรรย์ เพราะฝั่งตรงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาคือเกาะเมือง วัดจึงมีชัยภูมิที่ดีเป็นอย่างยิ่ง ต่อมาสมเด็จพระเจ้าเสือ พระราชบุตรในพระเจ้าเสือก็ทำพิธีโสกันต์และบวชเป็นสามเณร กระทั่งบวชเป็นภิกษุที่วัดพุทไธศวรรย์

วัดพุทไธศวรรย์มีความสำคัญมาก ถึงขนาดที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศโปรดให้นำราชทูตสิงหล (สังขัณฑนคร หรือที่ไทยเรียกว่าลังกา) ไปกราบพระปรางค์ที่วัดพุทไธศวรรย์

เมื่อครั้งเสียกรุงครั้งที่ 2 วัดพุทไธศวรรย์ไม่ได้ถูกเผาทำลายจึงมีสภาพสมบูรณ์มาจนถึงปัจจุบัน และเป็นวัดที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 5 เสด็จมาทอดกฐินโดยพระยุหยาตราชลมารคอีกด้วย

กรมศิลปากรได้ประกาศให้วัดพุทไธศวรรย์เป็นโบราณสถานในเดือนมีนาคม 2578 และได้รับการสถาปนาเป็นพระอารารมหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2549 เนื่องในวโรกาสพัชราภิเษกสมโภช พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 (ครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี)

👉สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด😉

😉พระปรางค์ประธาน เป็นพระปรางค์ศิลปะลพบุรีที่ได้รับอิทธิพลมาจากขอม ในจดหมายเหตุราชทูตลังกา (สิงหล) บันทึกไว้ว่าภายในพระปรางค์เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริธาตุ มีการสร้างห้องเพื่อให้เดินประทักษิณ (เวียนขวา) รอบพระบรมสาริรกธาตุได้

อันที่จริงมีพระรูปพระเจ้าอู่ทองอยู่ที่มุขด้านหนึ่งของปรางค์ประธาน พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเทพพลภักดิ์ ซึ่งขณะนั้นทรงบัญชาการกรมพระคชบาลอยู่ (กรมพระคชบาลปัจจุบันคือวังช้าง แล เพนียด) ทรงเสด็จออกเพนียดและพบพระรูปดังกล่าวจึงนำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 พระองค์ท่านจึงโปรดให้อัญเชิญพระรูปมาหล่อดัดแปลงใหม่เป็นพระพุทธรูป มีนามว่า ‘เทวรูปพระเจ้าอู่ทอง’ ประดิษฐานอยู่ที่หอพระเทพบิดรในวัดพระแก้ว

😉ตำหนักพระพุทธโฆษาจารย์ พระพุทธโฆษาจารย์คือพระราชาคณะฝ่ายคามวาสีฝ่ายขวา เทียบได้กับเจ้าคณะใหญ่คณะเหนือและคณะกลางในสมัยรัตโนโกสินทร์ ภายในตำหนักมีจิตกรรมฝาผนังศิลปะอยุธยาตอนปลาย ผนังทิศเหนือเป็นภาพวาดเรื่องไตรภูมิพระร่วง ทิศใต้เรื่องมารผจญ ทิศตะวันออกเป็นภาพพระพุทธบาททั้ง 5 และทิศตะวันตกเป็นภาพทศชาติ

😉วิหารพระพุทไธศวรรย์ ซากวิหารโบราณ ภายในประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์นาม ‘พระพุทไธศวรรย์’ อายุ 300 กว่าปี สันนิษฐานว่าเป็นปางปรินิพพานแบบลืมพระเนตร เพราะพระหัตถ์ทอดไปกับหมอน ไม่ได้ตั้งขึ้นรับพระพักตร์เหมือนปางพักผ่อนอิริยาบถและไม่ได้มีหมอนรองใต้รักแร้เหมือนปางโปรดอสุรินทราหู ที่น่าแปลกคือปางปรินิพพานแบบลืมพระเนตรนี้นิยมในพม่า พบประปรายในตอนเหนือของไทย แต่ไม่ค่อยพบในอยุธยา เพราะพระปรางปรินิพพานของไทยจะเป็นแบบหลับพระเนตรเสียส่วนใหญ่

😉สถานที่น่าสนใจอื่นๆ ภายในวัดมีสถานที่ที่น่าเที่ยวชมมากมาย เช่น ศาลจตุคามรามเทพ, พระบรมราชานุสาวรีย์ 3 กษัตริย์ ได้แก่ พระเนศวรมหาราช พระเจ้าอู่ทอง และพระเอกาทศรถ, วิหารพระทรงธรรม และวิหารพระสังกัจจายนะ


















*゚・✿..:* *゚・•*.:✿✲-•(¯`°.•°•.* .•°•.°´¯)*¤°• •:.:* *.:。✿*¨゚✎・ .

👉วัดพระศรีสรรเพชญ์(Wat Phra Si Sanphet)😉

เป็นวัดหนึ่งเดียวของอยุธยาที่อยู่ในเขตพระราชฐาน วัดประจำพระราชวัง ต้นแบบวัดพระแก้ว วัดพระศรีสรรเพชญ์มีจุดเด่นคือเจดีย์ 3 องค์เรียงตัวกันอยู่กลางวัด แต่ละองค์บรรจุพระบรมอัฐิธาตุของกษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ อีกทั้งยังมีอีกหนึ่งซากร่างแห่งความยิ่งใหญ่ทางวัฒนธรรม นั่นคือ วิหารหลวง สถานที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญ

วัดพระศรีสรรเพชญ์เป็นวัดที่พระบรมไตรโลกนาถโปรดฯ ให้สร้างขึ้น แต่เดิมเป็นพระราชมณเฑียรที่ประทับของพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ต่อมาพระบรมไตรโลกนาถทรงสร้างพระราชมณเฑียรขึ้นใหม่ทางด้านแม่น้ำลพบุรี จึงทรงนำที่ดินของพระราชมณเฑียรเดิมไปสร้างเป็นวัดพระศรีสรรเพชญ์เพื่อประกอบพระราชพิธีทางศาสนา วัดพระศรีสรรเพชญ์เป็นวัดี่อยู่ในเขตพระราชฐานหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าวัดประจำพระราชวัง จึงไม่มีพระจำพรรษาอยู่ และวัดพระศรีสรรเพชญ์ก็เป็นแบบอย่างของวัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้วในปัจจุบันด้วย

เนื่องจากวัดพระศรีสรรเพชญ์ถูกพม่าเผาทำลายจนเหลือแต่ซากปรักหักพังเมื่อครั้งเสียกรุงครั้งที่ 2 ต่อมาในสมัยจอมพล ป. พิบูลย์สงคราม ได้บูรณะเจดีย์ 3 องค์ของวัด เจดีย์จึงมีสภาพครบถ้วนด้วยศิลปะอยุธยาอย่างในปัจจุบัน

😉สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด  

😉เจดีย์ทรงลังกา 3 องค์  เจดีย์ 3 องค์ที่วางเรียงกันจากทิศตะวันออกไปตะวันตกนี้เป็นจุดเด่นของวัด โดยเจดีย์ทั้ง 3 องค์นี้ เป็นเจดีย์ทรงลังกาแบบอยุธยาซึ่งแตกต่างจากเจดีย์ทรงลังกาแบบสุโขทัย ตรงบริเวณที่เรียกว่าบัวถลา แม้บัวจะหงายออกเหมือนกัน แต่ของอยุธยาจะมีเสารอบบัว ส่วนของสุโขทัยบัวจะเรียบ เจดีย์ทั้ง 3 องค์ดังกล่าวได้แก่

😉เจดีย์ทางด้านทิศตะวันออก เป็นเจดีย์ที่บรรจุพระบรมอัฐิในสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ พระราชบิดาในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

😉เจดีย์องค์กลาง เป็นเจดีย์บรรจุพระบรมอัฐิสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3 พระบรมเชษฐาในสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2เจดีย์ทางทิศตะวันออกและองค์กลาง สร้างโดยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ในปีพ.ศ. 2035

😉เจดีย์ทางด้านทิศตะวันตก เป็นเจดีย์บรรจุพระบรมอัฐิสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 สร้างขึ้นโดยพระบรมราชิราชที่4 (สมเด็จพระหน่อพุทธางกูร)

เจดีย์ทั้ง 3 ได้รับการบูรณะสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ปัจจุบันจึงอยู่ในสภาพดี ทั้งฐานเชียง ฐานปัทม์ บัวถลา บัวปากระฆัง เรือนธาตุ บัลลังก์ และก้านฉัตร ทุกส่วนสมบูรณ์พร้อมด้วยศิลปะอยุธยา สำหรับผู้ที่ศึกษาศิลปะโบราณจึงควรไปดูองค์จริงให้เห็นกับตาสักครั้ง

😉วิหารหลวง  วิหารหลวงเป็นที่ประกอบพระบรมราชพิธีทางศาสนา เช่น พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒสัตยา สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2042ภายในมีพระศรีสรรเพชญดาญาณประดิษฐานอยู่ โดยพระศรีสรรเพชญดาญาณ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2043 เป็นพระพุทธรูปสำริดสีดำ ปางยืนยกพระหัตถ์ขวา หุ้มด้วยทองคำหนัก 347.776  กิโลกรัม เมื่อครั้งสมครามช้างเผือก พระศรีสรรเพชญดาญาณถูกทหารหงสาวดีตัดพระกร และได้รับการบูรณะในสมัยใดสมัยหนึ่งก่อนพระเจ้าปราสาททอง หลังจากการเสียกรุงครั้งที่ 2 วิหารหลวงถูกเผาทำลายจนเหลือแต่เพียงซากปรักหักพัง ทองทั้ง 300 กว่ากิโลกรัม บนองค์พระศรีสรรเพชญดาญาณถูกลอกออกไป แต่องค์สำริดของท่านยังคงอยู่ ปัจจุบันท่านประดิษฐานอยู่ที่เจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาน วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ในกรุงเทพฯ โดยรัชกาลที่ 1 โปรดให้อัญเชิญมาจากซากวิหารหลวงนั่นเอง

😉วิหารพระโลกนาถ  วิหารพระโลกนาถคือวิหารที่เดิมประดิษฐานพระพุทธโลกนาถ ซึ่งเป็นพระปางยืนยกพระหัตถ์ซ้าย ทำจากสำริดลงรักปิดทอง ต่อมารัชกาลที่ 1 ทรงอัญเชิญมากรุงเทพพร้อมกับพระศรีสรรเพชญ์ ปัจจุบันพระพุทธโลกนาถประดิษฐานอยู่ที่วิหารทิศตะวันออก มุขหลัง วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม  https://www.talontiew.com/wat-phra-si-sanphet/



































*゚・✿.. *.:。✿*゚・•*.:✿✲-•(¯`°.•°•.* * .•°•.°´¯)*¤°• •: *.:。✿*¨゚✎・ .

👉วัดโลกยสุธาราม (Wat Lokayasutharam)😊


: วัดที่ไม่มีใครทราบประวัติแน่ชัดแต่ได้รับการสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในสมัยอยุธยาตอนต้น บนพื้นที่อุทยานประวัติศาสตร์อยุธยา ที่ประดิษฐานพระนอนปางพักผ่อนพระอิริยาบถที่ใหญ่ที่สุดในเกาะเมือง ร่วมกิจกรรมงานบุญประจำปีห่มผ้าพระนอนในเทศกาลสงกรานต์ และปิดทองพระนอนองค์จำลอง พร้อมชมพระปรางค์โบราณทรงฝักข้าวโพด

วัดโลกยสุธารามตั้งอยู่บนเกาะเมือง ในพื้นที่มรดกโลก ประวัติของวัดไม่แน่นอน แต่จากสถาปัตยกรรมและศิลปะภายในวัด กรมศิลปากรสันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในยุคกรุงศรีอยุธยาตอนต้น อาจเป็นช่วงรัชสมัยสมเด็จพระนครินทราธิราช พระราชบิดาของเจ้าสามพระยา เล่ากันว่าแต่เดิมวัดนี้มีชื่อว่าวัดสุทธาวาส ต่อมาในช่วงอยุธยาตอนปลาย ผู้คนเรียกขานกันว่าวัดโลกสุธา หลังจากเสียกรุงครั้งที่สองแล้วมีหลักฐานปรากฏว่าผู้คนเรียกวัดนี้ว่าวัดโลกยสุธา เมื่อพระยาโบราณราชธานินทร์เข้ามาสำรวจจึงบันทึกชื่อวัดร้างแห่งนี้ว่าวัดโลกยสุธาราม โดยคำว่า ‘โลกย’ มาจากคำว่า ‘โลกิยะ’ หมายถึง ของโลก ‘สุธา’ มีความหมายว่าน้ำอมฤต และ ‘อาราม’ หมายถึงวัด โลกยสุธารามจึงหมายถึงวัดที่เปรียบเสมือนน้ำอมฤตของโลก

วัดโลกยสุธารามทรุดโทรมมากมีเพียงพระปรางค์ประธานและพระนอนเท่านั้นที่โดดเด่น ส่วนโบสถ์ กำแพงแก้ว และวิหารหลวง วิหารราช วิหารราย หอระฆัง ระเบียงคด และเจดีย์ฐาน 8 เหลี่ยม ล้วนพังลงมาหมดแล้ว เหลือเพียงฐานเท่านั้น

สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด

  1. พระนอน  พระนอนในลักษณะสีหไสยาสน์ของวัดโลกยสุธารามเป็นพระนอนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเกาะเมืองอยุธยา โดยมีความยาว 42 เมตร สูง 8 เมตร พระนอนแห่งวัดโลกยสุธารามนี้ เป็นพระปางพักผ่อนอิริยาบถ มีพุทธลักษณะคือพระเศียรหนุนอยู่บนพระเขนย (ซึ่งในที่นี้คือดอกบัว) พระหัตถ์เท้าพระเศียร ซึ่งแตกต่างจากปางทรงสุบินตรงที่ปางทรงสุบิน  พุทธลักษณะคืองอข้อพระกร หลังพระหัตถ์จรดพระปราง และแตกต่างจากปางโปรดอสุรินทราหู ตรงที่ปางโปรดอสุรินทราหูจะต้องมีพระเขนยรองใต้พระกัจฉะ (รักแร้)  พระนอนแห่งวัดโลกยสุธารามได้รับการบูรณะครั้งใหญ่ในปี พ.ศ. 2399 จากรูปถ่ายก่อนการบูรณะทำให้เห็นว่า ท่านเป็นพระพุทธรูปที่ไม่มีการทรงเครื่องกษัตริย์ พระพักตร์สี่เหลี่ยมคล้ายศิลปะอู่ทองตอนต้น แต่เมื่อมีการบูรณะแล้วได้เพิ่มกรอบหน้าเข้าไป ท่านจึงกลายเป็นพระทรงเครื่องน้อยดังเช่นในปัจจุบัน   เนื่องจากรอบองค์พระมีเสาอิฐ 8 เหลี่ยม จำนวน 24 ตัน จึงสันนิษฐานได้ว่าแต่เดิมพระนอนอยู่ในวิหาร มีแต่วิหารได้พังทลายลง ต่อมาในปีพ.ศ. 2532 ได้มีการบูรณะพระนอนครั้งที่ 2 โดยคุณหญิงระเบียบ ธำรงนาวาสวัสดิ์ และครอบครัว ได้จัดให้มีการบูรณะเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ นายธำรง และพล.ร.ต. ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี   
  • พระนอนวัดโลกยสุธารามเป็นที่เคารพนับถือของชาวอยุธยาและผู้คนจากทั่วสารทิศ หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สนใจจะไปกราบสักการะท่าน มีกิจกรรมดีๆ 2 กิจกรรมที่คุณไม่ควรพลาด
  • ร่วมกิจกรรมงานบุญประจำปีห่มผ้าพระนอน งานบุญประจำปีนี้จัดขึ้นในเดือนเมษายน ช่วงเทศกาลสงกรานต์ โดยชาวบ้านและนักท่องเที่ยวจะยืนเรียงแถวหน้ากระดานหน้าองค์พระ ร่วมกันเชิญผ้าขึ้นเทิดเหนือศีรษะแล้วชักขึ้นไปจากปลายพระบาทกระทั่งห่มคลุมพระองค์ เป็นที่สวยงามน่าชมเป็นอย่างยิ่ง
  • ปิดทององค์จำลอง เนื่องจากไม่อนุญาตให้ปิดทองที่องค์พระ จึงมีการทำพระนอนจำลองขนาดเล็กไว้บริเวณหิ้งสำหรับจุดธูปเทียนลายดอกไม้สักการะ หลังจากที่กราบพระองค์จริงเสร็จแล้ว นักท่องเที่ยวสามารถปิดทองคำเปลวลงบนพระนอนองค์จำลองได้พระปรางประธาน พระปรางค์ประธานตั้งอยู่บริเวณกลางวัด หันหน้าไปทางทิศตะวันออก องค์ปรางค์ทรงฝักข้าวโพดตั้งอยู่บนฐานเขียง 3 ชั้น ไม่มีนภศูลเหลือให้เห็น มีเพียงเรือนธาตุและซุ้มประตูเท่านั้นที่ยังชัดเจน ด้านหลังขององค์ปรางค์มีฐานพระอุโบสถที่ตั้งอยู่  https://www.talontiew.com/wat-lokayasutharam/






゚・✿.*.:。✿*゚・•*.:✿✲-•(¯`°.•°•.* * .•°•.°´¯)*¤°• •:.:* *.:。✿*¨゚✎・ .

👉วิหารมงคลบพิตร(Wihan Phra Mongkhon Bophit)😊



ที่ประดิษฐานพระมงคลบพิตร พระคู่บ้านคู่เมืองที่มีประวัติซับซ้อนยาวนาน สัญลักษณ์การรวมอำนาจสู่ศูนย์กลางในสมัยสมเด็จพระบรมโตรโลกนาถ หลังจากได้รับการบูรณะด้วยปูนทาสีดำทั้งองค์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชทรงดำริให้หุ้มทองคำดังปัจจุบัน

พระมลคลบพิตรจะสร้างขึ้นในสมัยใดไม่ปรากฏ มีแต่ข้อสันนิษฐานแตกต่างกันไปว่า

  1. สร้างขึ้นในสมัยพระบรมไตรโลกนาถ เดิมประดิษฐานอยู่ที่ทิศตะวันออกของพระราชวังหลวง
  2. สร้างขึ้นในสมัยสมเด็จพระไชยราชา (หลังสมเด็จพระบรมโตรโลกนาถ 46 ปี)ประดิษฐานอยู่กลางแจ้งที่วัดชีเชียง ห่างจากวิหารปัจจุบันไป 200 เมตร

ตามเอกสารภาพวาดของชาวตะวันตก ในปี พ.ศ. 2146 สมเด็จพระเจ้าทรงธรรมโปรดให้ชะลอพระมงคลบพิตรมาไว้ทางทิศตะวันออกของพระราชวังหลวงแล้วสร้างวิหารทรงมณฑปครอบไว้ ลักษณะคล้ายมณฑปพระพุทธบาทสระบุรี ต่อมาในปี พ.ศ. 2246 สมัยสมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 หรือ พระเจ้าเสือ ฟ้าผ่ามณฑปหักถูกพระเศียรชำรุดบางส่วน พระเจ้าเสือจึงโปรดให้ซ่อมพระเศียรและสร้างวิหารครอบองค์พระ โดยคงยอดมณฑปเอาไว้ จากนั้นก็มีการปฏิสังขรณ์อีกครั้งในสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ โดยสร้างหลังคาคล้ายในปัจจุบันขึ้น

ในช่วงเสียกรุง พระวิหารมลคลบพิตรและองค์พระเสียหายอย่างหนัก ต่อมาคุณหญิงอมเรศร์สมบัติภรรยาของพระยาอมเรศร์สมบัติ (ต่วน ศุขะวะนิช) เจ้ากรมกองผลประโยชน์ พระคลังข้างที่ มีความศรัทธาในพระมงคลบพิตรเป็นอย่างมาก จึงได้ยื่นเรื่องขอบูรณะพระวิหารขึ้นในปี พ.ศ. 2474 ผ่านกรมศิลปากรซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทะการเป็นอธิบดีอยู่ในขณะนั้น แต่รัฐบาลไม่อนุญาตเนื่องจากต้องการออกแบบให้เป็นพระพุทธรูปกลางแจ้งเหมือนไดบุซึของญี่ปุ่น คุณหญิงได้ยื่นเรื่องใหม่ถึง 4 ครั้ง จนปี พ.ศ. 2480 สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงออกแบบพระวิหารให้ ในปี พ.ศ.2498 ฯพณฯ ท่านอู้นุ นายกรัฐมนตรีคนแรกของพม่าได้มอบเงิน 200,000 บาทเพื่อบูรณะวิหารมงคลบพิตร สุดท้ายในปี พ.ศ. 2499 ซึ่งเป็นสมัยของจอมพล ป.พิบูลสงคราม จึงมีการสร้างพระวิหารมงคลบพิตรตามแบบที่สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ได้ทรงออกแบบขึ้น โดยรัฐบาลไทยได้สมทบงบประมาณเพิ่มเข้าไปอีก 250,000 บาท

ในปี พ.ศ. 2500 กรมศิลปากรได้บูรณะองค์พระมงคลบพิตร พบพระพุทธรูปสำริดจำนวนมากบรรจุไว้ที่พระอุระด้านขวาและพระพาหาด้านซ้ายจึงนำมาเก็บรักษาที่พิพิธภัณฑ์เจ้าสามพระยาและจันทรเกษม โดยอาจแบ่งได้เป็น 5 กลุ่มใหญ่คือ

  1. พระพุทธรูปศิลปะล้านนา
  2. พระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย
  3. พระพุทธรูปศิลปะอู่ทอง
  4. พระพุทธรูปศิลปะอยุธยา
  5. พระพุทธรูปศิลปะอยุธยาสกุลช่างนครศรีธรรมราช (แบบขนมต้ม)

เชื่อกันว่าการรวบรวมพระพุทธรูปจากหัวเมืองต่างๆ ไว้ในพระพุทธรูปองค์เดียวกัน เป็นการแสดงถึงการรวมอำนาจสู่ศูนย์กลางในสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ โดยมีความหมายว่าแต่นี้ไปหัวเมืองต่างๆ จะเป็นหนึ่งเดียวกับกรุงศรีอยุธยานั่นเอง

😊สิ่งที่น่าสนใจ 

  1. พระมงคลบพิตร  พระมงคลบพิตรเป็นพระพุทธรูปศิลปะสุโขทัย ปางมารวิขัย หน้าตัก 9.55 เมตร ความสูงไม่รวมฐานบัว 12.45 เมตร องค์พระมงคลบพิตรก่อด้วยอิฐหุ้มสำริด หลังจากเสียกรุงพระมงคลบพิตชำรุดหนักจนพระพาหา (แขน) ขวาหัก ซ่อมแซมครั้งแรกในสมัยพระยาโบราณราชธานินทร์โดยใช้ปูนปั้นจนมีพระองคาพยพพร้อมมูล ในการบูรณะองค์พระในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ได้ใช้ปูนปั้นทาสีดำทั้งองค์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2533 สมเด็จพระญาณสังวรณ์ สมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปรินายก เสด็จเป็นองค์ประธานหล่อทองพระมงคลบพิตรจำลอง แล้วทรงดำริให้หุ้มทองพระมงคลบพิตรองค์จริงทั้งองค์ด้วย พระมงคลบพิตรในปัจจุบันจึงเป็นทองสุขปลั่งงามพร้อมเป็นอย่างยิ่ง
  1. วิหารแกลบ วัดชีเชียง  ด้านหน้าของวิหารมงคลบพิตรห่างออกไปราว 400-500 เมตร มีซากวิหารแกลบของวัดชีเชียงอยู่ โดยวิหารแกลบคือวิหารขนาดเล็กจนคนสามารถเข้าไปนั่งได้เพียงคนเดียว ดังนั้นแม้จะเชื่อกันว่าวัดชีเชียงเป็นที่ประดิษฐานเดิมของพระมงคลบพิตร แต่วิหารแกลบนี้ไม่มีทางที่จะเป็นที่ประดิษฐานพระมงคลบพิตร และเป็นไปได้ว่าท่านอยู่กลางแจ้งตามที่เชื่อกันมาแต่เดิมนั่นเอง  https://www.talontiew.com/wihan-phra-mongkhon-bophit/







*゚・✿..:* .:。✿*゚・•*.:✿✲-•(¯`°.•°•.* * .•°•.°´¯)*¤°• •:.:* :。✿*¨゚✎・ .

 👉วัดธรรมิกราช (Wat Thammikarat)😊






รายละเอียด วัดธรรมิกราช เดิมชื่อ วัดมุขราช ตั้งอยู่ใน อำเภอพระนครศรีอยุธยา
 จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ติดกับพระราชวังโบราณ และวัดพระศรีสรรเพชญ์ ปัจจุบันยังเป็นวัด
ที่มีพระภิกษุสงฆ์จำพรรษาและปฏิบัติธรรมอยู่
ลักษณะเด่น -พระนอน ในวิหารพระนอน
-สิงห์ปูนปั้นอิทธิพลเขมร ตั้งอยู่ล้อมรอบเจดีย์ประธาน
-เศียรพระพุทธรูปหล่อสำฤทธิ์เป็นศิลปะสมัยอู่ทอง เดิมอยู่ในวิหารหลวงมีความศักดิ์สิทธิ์มาก
 กล่าวว่าผู้ใดเป็นคดีความกันมาสาบานต่อ
หน้าพระพักตร์คนผิดต้องตายหรือมีอันเป็นไปทุกคนเป็นที่กล่าวขานกันมา
ประวัติ วัดธรรมิกราช ตั้งอยู่ด้านหน้าพระราชวังหลวงในพงศาวดารเหนือกล่าวว่า
 พระยาธรรมิกราชโอรสของพระเจ้าสายน้ำผึ้งเป็นผู้สร้างจึงสันนิษฐานว่าคงสร้างขึ้นก่อน
ที่จะสถาปนากรุงศรีอยุธยา เดิมชื่อวัดมุขราชต่อมาได้เปลี่ยนชื่อตามผู้สร้างเป็นวัดธรร
มิกราชหลักฐานของโบราณสถาณของวัดแสดงว่าได้รับการบูรณะมาแล้วอย่างน้อยหนึ่งครั้ง
ในสมัยอยุธยาตอนปลาย ในคราวเสียกรุงครั้งสุดท้ายหลักฐานด้านเอกสารระบุว่าวัดนี้ถูกไฟไหม้เสียหาย
ข้อมูลเพิ่มเติม เศียรพระพุทธรูปหล่อสำฤทธิ์เป็นศิลปะสมัยอู่ทอง เดิมอยู่ในวิหารหลวงมีความศักดิ์สิทธิ์มาก
https://thailandtourismdirectory.go.th/th/info/attraction/detail/itemid/3566






*゚・✿..:* *.:。✿゚・•*.:✿✲-•(¯`°.•°•.* * .•°•.°´¯)*¤°• •:.: *.:。✿*¨゚✎・ .


👉วัดภูเขาทอง(Wat Phu Khao Thong) 😊

: เจดีย์ที่สูงที่สุดนอกเกาะเมืองและเป็นเจดีย์เดียวที่องค์เจดีย์เป็นทรงไทยบนฐานแบบพม่า ที่สมเด็จพระเนรศวรมหาราชทรงสร้างขึ้นเพื่อแสดงถึงการมีชัยเหนือพุกามประเทศ เยี่ยมชมรอยพญานาคในหอสวดมนต์และพบกับความยิ่งใหญ่อลังการของพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเนรศวรมหาราช

            วัดภูเขาทองสถาปนาขึ้นในสมัยสมเด็จพระราเมศวร เมื่อปี พ.ศ. 1930 หลังจากเสียกรุงครั้งที่ 1 ในปี พ.ศ. 2112 พระเจ้าบุเรงนองโปรดให้สร้างเจดีย์ใหญ่วัดภูเขาทองเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งชัยชนะ บางตำนานว่าสร้างได้แค่ฐานเท่านั้น พระเนรศวรจึงต่อเติมองค์เจดีย์จนเสร็จ บางตำนานว่าสร้างเต็มองค์ แต่สมเด็จพระเนรศวรทรงสร้างองค์เจดีย์แบบไทยบนฐานแบบพม่าเพื่อเป็นการประกาศชัยชนะเหนือพม่า นั่นทำให้เจดีย์วัดภูเขาทองจึงเป็นเจดีย์เดียวในอยุธยาที่มีลักษณะผสมผสานแบบนี้

ในสมัยสมเด็จพระเจ้าปราสาททองมีการสร้างเจดีย์รายเพิ่มเติม ต่อมาสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศโปรดฯ ให้บูรณะเจดีย์ประธานและส่วนอื่นๆ ของวัด เชื่อกันว่าลักษณะของเจดีย์ประธานในปัจจุบันนี้เกิดจากการบูรณะในสมัยสมเด็จพระเจ้าบรมโกศ เนื่องจากเจดีย์เพิ่มมุมนี้ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งในสมัยนั้น

หลังจากเสียกรุงครั้งที่ 2 วัดภูเขาทองกลายเป็นวัดร้าง ภายในวัดประกอบไปด้วยซากกำแพงแก้ว วิหารเล็ก อุโบสถใหญ่ลายปูนปั้น เจดีย์ราย เจดีย์เล็กหน้าโบสถ์ 4 องค์ และพระเจดีย์ใหญ่ซึ่งเป็นปูชนียสถานสำคัญที่สุดของวัด โดยเจดีย์วัดภูเขาทองยังคงเป็นที่เลื่อมใสศรัทธาของสาธุชนเรื่อยมา

กรมศิลปากรได้ประกาศให้วัดภูเขาทองเป็นโบราณสถานแห่งชาติในปี พ.ศ. 2478 ทว่าเจดีย์ประธานวัดภูเขาทองได้พังทลายลงไปในสมัยรัตนโกสินทร์ แต่ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในปี พ.ศ. 2499 โดยหุ้มปลียอดด้วยทองคำ 2,500 กรัม  เพื่อฉลองพุทธกาลครบ 2500 ปี และวัดภูเขาทองก็กลายเป็นวัดที่มีพระจำพรรษาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2500 เป็นต้นมา

 😊สิ่งที่น่าสนใจภายในวัด

  1. เจดีย์วัดภูเขาทอง  เจดีย์วัดภูเขาทองมีความสูง 90 เมตร นับเป็นเจดีย์นอกเกาะเมืองที่สูงที่สุด โดยในเกาะเมือง เจดีย์วัดไชยวัฒนารามสูงที่สุด โดยสูงกว่าเจดีย์วัดภูเขาทองเพียง 2 เมตรเท่านั้น เจดีย์วัดภูเขาทองเป็นเจดีย์เดียวในอยุธยาที่องค์เจดีย์เป็นศิลปะแบบไทยบนฐานศิลปะแบบพม่า ภายในองค์เจดีย์รกรมศิลปากรได้บูรณะจนมีความแข็งแรง นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปชมวิวจากด้านบนของเจดีย์ และสามารถเข้าไปสักการะพระพุทธรูปภายในเจดีย์ได้
  1. รอยพญานาค  รอยพญานาคเป็นร่องรอยยาวคล้ายงูใหญ่เลื้อยผ่าน อยู่ที่หอสวดมนต์ของวัด รอยแรกปรากฏบนประตูและพื้นหน้าประตู รอยที่สองปรากฏบนผนังห้องด้านใน ทางวัดได้นำกระจกใสมาวางปิดไว้ป้องกันไม่ให้ผู้เยี่ยมชมบังเอิญสัมผัสกับรอยจนลบเลือน หลังจากเที่ยวชมรอยพญานาคแล้ว ในหอสวดมนต์ยังมีพระพุทธรูปปางนาคปรกและรูปเคารพพ่อปูพญานาคให้สาธุชนได้สักการะอีกด้วย
  1. พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเนรศวรมหาราช  ด้านหน้าของวัด ห่างจากเจดีย์ใหญ่ไปประมาณ 900 เมตร มีพระบรมราชานุสาวรีย์พระเนรศวรมหาราชอยู่ โดยพระบรมราชานุสาวรีย์แห่งนี้สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2538 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เนื่องในวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ 50  ปี พระบรมราชานุสาวรีย์ออกแบบโดยกรมโยธาและผังเมือง แสดงพระราชประวัติตอนที่สมเด็จพระเนรศวรมหาราชทรงม้าออกสังหาร ‘ลักไวทำมู’ ทหารเอกพระเจ้าองสาวดี มุมทั้ง 4 ประดับด้วยเครื่องราชูปโภคสำคัญ ได้แก่ พระแสงปืนข้ามแม้น้ำสะโตง พระแสงดาบคาบค่าย พระมาลาเบี่ยง และพระแสงของ้าวที่ปลิดชีพพระมหาอุปราชในการกระทำยุทธหัตถี ฐานโดยรอบสลักภาพนูนต่ำเล่าพระราชประวัติสมเด็จพระเนรศวรมหาราช โดยภาพนูนต่ำเหล่านี้ออกแบบโดยคุณไข่มุก ชูโต ปติมากรประจำสำนักพระราชวัง https://www.talontiew.com/wat-phu-khao-thong/

*゚・✿..:*.:。✿*゚・•*.:✿✲-•(¯`°.•°•.* * .•°•.°´¯)*¤°• •:.:* :。✿*¨゚✎・ .

👉ตลาดน้ำอโยธยา (Ayothaya Floating Market) 😊: 


ตลาดน้ำบนเนื้อที่ 80 ไร่ กับ 16 โซน ขายสินค้าจาก 16 อำเภอในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ทำกิจกรรมมากมาย เช่น ป้อนนมแพะ ป้อนหญ้าควายไทย และนั่งเรือชมตลาด ตื่นตากับการแสดงทั้งแบบกลางแจ้งและในอาคารชนิดอลังการงานสร้าง  ตลาดอโยธยาเป็นตลาดเพื่อการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 บนพื้นที่ประมาณ 80 ไร่ ร้านค้าประมาณ 250 ร้าน เรือขายสินค้า 50 ลำ ตลาดนัดชุมชนวิถีไทยและร้านค้าบริเวณเรือนไทยร่วม 200 ร้าน ภายในตลาดได้นำชื่ออำเภอต่างๆ ของจังหวัดมาตั้งชื่อโซนและขายสินค้า OTOP ของแต่ละอำเภอ ทั้งหมด 16 อำเภอ 16 โซน ได้แก่ 1. ตลาดท่าเรือ, 2. ตลาดนครหลวง, 3. ตลาดบางซ้าย, 4. ตลาดบางบาล, 5. ตลาดบ้านแพรก, 6. ตลาดเสนา, 7. ตลาดบางไทร, 8. ตลาดบางปะหัน, 9. ตลาดอุทัย, 10. ตลาดภาชี, 11. ตลาดมหาราช, 12. ตลาดเจ้าพรหม, 13. ตลาดลาดบัวหลวง, 14. ตลาดผักไห่, 15. ตลาดบางปะอิน และ 16. เกาะอาหารวังน้อย

 😊สิ่งที่น่าสนใจในตลาด

1.ตลาดน้ำ  จำหน่ายอาหาร ขนมไทย และสินค้า OTOP มีสินค้าน่าสนใจ เช่น ลูกชิ้นยักษ์ หนึ่งไม้มีน้ำหนักครึ่งกิโลกรัม ของว่างประจำจังหวัดริมน้ำ อย่างกระจับก็ได้รับความสนใจจากนักท่องเที่ยวเช่นกัน นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มสมัยใหม่อย่างสมูทตี้ผลไม้ เย็นฉ่ำชื่นใจ  ไม่ใช่แค่ของกินเท่านั้น ที่นี่ยังมีเสื้อผ้า ของเล่น ของกระจุกกระจิก ของใช้ และของย้อนยุคขายอีกด้วย ที่น่าสนใจ เช่น กระเป๋าผ้าฝ้ายลายไทย กางเกงผ้าฝ้ายลายไทย  สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่พาเด็กๆ ไปด้วย สามารถให้น้องๆ เล่นของเล่นที่สวนสนุกและบ้านบอล ในขณะที่คุณพ่อหรือคุณแม่ไปเดินเที่ยวชมตลาดได้เช่นกัน

2.กิจกรรมล่องเรือชมตลาด   ที่คลองขุดรอบตลาดมีบริการนั่งเรือชมตลาดน้ำ โดยจะเป็นการนั่งเรือรอบคลอง แต่ไม่ได้เข้าไปในบึงขุดด้านในของตลาด สองฝั่งน้ำจะมีเรือนไทย กำแพงเมือง และสะพานไม้ข้ามคลอง ให้ความรู้สึกเหมือนเดินเข้ามาในกรุงเก่าขณะที่ยังเป็นราชธานี ค่านั่งเรือผู้ใหญ่ 20 บาท เด็ก 10 บาท

3.กิจกรรมให้อาหารปลา น้ำในบึงขุดของตลาดน้ำแห่งนี้ มีปลาสวายจำนวนมาก และมีจุดบริการให้อาหารปลา โดยไม่คิดค่าอาหาร มีเพียงกล่องรับบริจาคให้นักท่องเที่ยวหยอดเงินเล็กๆ น้อยๆ ลงไปเท่านั้น

4.ป้อนอาหารแพะ ควาย ปลา ที่ตลาดน้ำอโยธยาแห่งนี้มีกิจกรรมที่น่าสนใจอีกกิจกรรมหนึ่ง คือ ป้อนนมแพะ ป้อนนมปลาคราฟ และป้อนหญ้าควายไทย ค่าอาหารทั้งหมดไม่มีการเก็บเงิน มีแต่ตู้บริจาคที่ตั้งไว้ให้นักท่องเที่ยวหยอดเงินค่าอาหารสัตว์ตามศรัทธาเท่านั้

5.คลอสเพล์  นี่ไม่ใช่การเปิดพื้นที่ให้นักท่องเที่ยวแต่งตัวมาประชันกัน แต่จะมีคนของตลาดน้ำแต่งตัวเป็นตัวละครไทย เช่น แม่นาคพระโขนง กระจายตามจุดต่างๆ ให้นักท่องเที่ยวได้ถ่ายรูปกลับไปเป็นที่ระลึก นอกจากนี้ยังมีจักรยานวินเทจและของวินเทจอื่นๆ อีกด้วย 

6.การแสดงพื้นบ้านประวัติศาสตร์  การแสดงพื้นบ้านประวัติศาสตร์ ประกอบไปด้วยการแสดงประวัติศาสตร์อยุธยา เช่น การรบกับพม่า อีกทั้งยังมีรำไทยที่พร้อมไปด้วยแสงสี

วันธรรมดามีการแสดงประวัติศาสตร์ 3 รอบ คือ เวลา 12.30 น., 14.30 น. ที่เวทีการแสดง และ 16.00 น. ที่ศูนย์วัฒนธรรม ส่วนวันเสาร์ – อาทิตย์มีการแสดงประวัติศาสตร์และรำไทย 7 รอบด้วยกัน คือ

  • การแสดงประวัติศาสตร์ ที่เวทีการแสดง เวลา 12.00 น., 30 น. และ 15.00 น.,
  • การแสดงประวัติศาสตร์ ที่ศูนย์วัฒนธรรม เวลา 17.00 น.
  • การแสดงรำไทย ที่โซน เวลา 12.50 น.,14.20 น. และ 15.50 น.

นอกจากนี้ตลาดน้ำอโยธยายังมีการแสดงย่อมๆ ที่ริมน้ำ แต่เร้าใจ เพราะนักแสดงจะแต่งตัวพร้อมรบ แล้วใช้ดาบฟาดฟันกันจริงๆ ลงเรือไปสู้ก็มี สู้แพ้ตกน้ำก็มี สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับนักท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก

กิจกรรมขี่ช้าง ติดกับตลาดน้ำอโยธยามีปางช้างอยู่แห่งหนึ่ง เรียกกันว่าปางช้างข้างวัดมเหยงค์ เดินตลาดเหนื่อยแล้วนักท่องเที่ยวสามารถออกมาขี่ช้างเดินชมบริเวณใกล้เคียงได้ โดยจะเดินไปถึงวัดช้างที่กรมศิลปากรประกาศให้เป็นโบราณสถาน เพื่อชมเจดีย์วัดช้าง หนึ่งในเจดีย์ไม่กี่แห่งในประเทศไทยที่มีช้างล้อมตามแบบเจดีย์ในลังกา และชมพระประธานปางมารวิชัยในซากวิหาร ก่อนกลับปางช้าง  https://www.talontiew.com/ayothaya-floating-market/













*゚・✿..:* *.:。✿*゚・•*.:✿✲-•(¯`°.•°•.* * .•°•.°´¯)*¤°• •:.:* *.:。✿*¨゚✎・ .


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น